คำถามที่ว่า ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม การรักษา ที่ทำให้ หายขาดได้นั้น ยังคงอยู่ ในระหว่างการศึกษา พัฒนา และ วิจัย ภายใต้หน่วยงานแพทย์ ถึงแม้ว่า จะยังไม่มีผลการศึกษา ออกมาอย่างแน่ชัด แต่ข่าวดี คือ ในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่หายขาดแล้ว 1 คน ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ที่ติดเชื้อเอชไอวี มานาน การรักษา
ผู้ป่วย ติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันการรักษา ยังคงยึดหลักการเดิม คือ การให้ทานยา เพื่อจะยับยั้งการแบ่งตัว ของเชื้อเอชไอวี ซึ่งเมื่อรับประทานยา เข้าไปแล้ว จะช่วยให้ ผู้ป่วยสามารถ ใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน ในสังคมได้เหมือนกับ คนปกติทั่วไป
และ สามารถ มีชีวิต อยู่ต่อได้ เหมือนกับ อายุขัย ของคนปกติ การศึกษาวิจัย การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันนั้น กำลัง มีการศึกษาอยู่ 3 วิธี คือ
– การ ปลูกถ่ายไขกระดูก
– การเริ่ม กินยา ต้านเชื้อเอชไอวี อย่างเร็วภายใน 2 สัปดาห์แรก ก่อนที่ ผลการตรวจ anti – HIV จะเป็นบวก
– การรักษา ด้วยวิธีอื่น ๆ แต่การศึกษาวิธีอื่น ๆ นี้ ยังได้ผลไม่ดี เท่าที่ควร
ทั้งนี้ การป้องกัน การติดเชื้อเอชไอวี ก็ยังคงเป็น สิ่งที่ดีที่สุด ที่จะทำให้คุณ ห่างไกลจากโรคนี้ได้ และ นอกจากนี้ หากคุณ เป็นผู้ที่มี พฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ติดเชื้อ หรือ สงสัยว่า ตนเองได้รับเชื้อ เอชไอวีมา
การที่จะสามารถ รู้ได้ชัดเจน ว่าสรุปแล้ว เราติดเชื้อ หรือไม่
ก็คงมีทางเดียว คือ ควรไป ตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งถ้าหาก ไปตรวจแล้วพบว่ามี การติดเชื้อเอชไอวี จริงก็จะได้สามารถ เข้ารับการรักษาทันที ที่กล่าวมา ทั้งหมดนี้
เนื่องจากปัญหาในปัจจุบันที่พบอยู่บ่อย ๆ ก็คือ ติดเชื้อแล้วไม่รู้ตัว และ ส่วนใหญ่ ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ มักจะมีอาการหนักมากแล้ว หรือ อาจจะมี ภาวะแทรกซ้อน ที่เป็นอันตราย และ ยากต่อการรักษา
ในการรับประทาน ยาต้านไวรัส นั้น จำเป็นต้องมีวินัยที่ดี ในการกินยา ต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอ และ ตรงต่อเวลา ถ้าหากว่าลืม หรือ เวลาคลาดเคลื่อนไป นึกขึ้นได้ต้องกินยาในทันที และ เริ่มนับเวลาใหม่ หลังจากกินยา ดังนั้น หากมีวินัย ในการกินยาต้านไวรัส อย่างสม่ำเสมอ และ ตรงเวลาแล้ว ก็อาจลดโอกาส ในการเสี่ยง ที่จะติดเชื้อเอชไอวีได้
ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม
จาก ที่กล่าวมา สามารถ สรุป ได้ว่า การรักษา การติดเชื้อเอชไอวี ให้หายขาดได้นั้น ในปัจจุบันยัง ไม่มีผลการยืนยัน ว่ามีวิธี ที่สามารรักษา ให้หายขาดได้ ยังคง เป็นสิ่งที่ ทางการแพทย์ ทั่วโลก กำลังศึกษา และ คิดค้นกันอยู่ อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ตอนนี้สิ่งที่สำคัญ และควรทำ มากที่สุด คือ หลีกเลี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ป้องกันทุกครั้ง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ ดูแลตนเอง สำรวจตนเอง สม่ำเสมอ ถ้าไม่มั่นใจก็ตรวจ เพราะจะได้ รู้เท่าทันตนเอง รู้เท่าทันโรค และเพื่อที่จะ เข้ารับ การรักษาได้ โดยเร็ว ก่อนเข้าสู่ภาวะเอดส์
-ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก-
คณะ แพทยศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
สรุปแล้ว