การรักษาโรคเอดส์ให้หายขาด โรคเอดส์ (AIDS) เกิดจากการ ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ซึ่งเชื้อเอชไอวี ที่ไปสู่ร่างกาย จะเข้าไปทำลาย เซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจะเป็นเซลล์ ที่ทำหน้าที่ คอยกำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย หากเซลล์เม็ดเลือดขาว ได้ถูกทำลายลงมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้ผู้ที่ติดเชื้อ มีภูมิต้านที่ลดน้อยลง จนในที่สุดร่างกาย ก็ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้ จึงทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อ สามารถเกิดโรคแทรกซ้อน ได้ง่ายขึ้น และจะส่งผลให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น วัณโรค ปอดอักเสบ เชื้อรา เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยโรคเอดส์ มักจะมีโอกาส ในการเสียชีวิตลง ด้วยโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ
ในอดีตผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเอดส์ จะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตสูงมาก หรือแทบจะไม่มีความหวัง ในการใช้ชีวิต เหมือนกับคนปกติทั่วไป จึงทำให้แพทย์มุ่งเน้น ในเรื่องของการรักษาโรคเอดส์ อย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ได้มีวิวัฒนาการเกิดขึ้นมากมาย เกี่ยวกับ การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ให้มีความหวังต่อไป
สำหรับการรักษาการติดเชื้อเอชไอวี ปัจจุบันยังคงเป็นการใช้ยา เพื่อยับยั้งการแบ่งตัว ของเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วย สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เหมือนกับคนทั่วไป และยังมีอายุไข ที่ใกล้เคียงกับคนปกติ แต่การที่จะรักษาการติดเชื้อ ให้หายขาดได้ ก็ยังคงอยู่ในระหว่างการพัฒนา ของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในปัจจุบัน มีผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ที่สามารถรักษา ให้หายขาด เพียงรายเดียวเท่านั้น ที่ผ่านการยืนยัน ว่าได้หายจากการติดเชื้อเอชไอวีจริง ๆ ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ที่ติดเชื้อมานาน และได้มีการป่วย เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวร่วมด้วย โดยผู้ป่วยติดเชื้อดังกกล่าว ได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูก เพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว ซึ่งเซลล์ที่ปลูกถ่าย จะเป็นเซลล์ชนิดพิเศษ โดยจะมีคุณสมบัติ ที่สามารถต้านการติดเชื้อเอชไอวีได้ และทำให้เชื้อเอชไอวีไม่กลับมาอีก หลังจากที่ได้มีการติดตามผลการรักษา มาเป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี ก็ได้พบว่า ผู้ป่วยรายนี้ ไม่ต้องกินยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวีต่อไปอีกแล้ว และสามารถใช้ชีวิตได้ เหมือนกับคนปกติทั่วไป
การรักษาโรคเอดส์ให้หายขาด สำหรับการวิจัย เกี่ยวกับ การรักษาการติดเชื้อเอชไอวี ให้หายขาดได้ จะสามารถแบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ
1. การปลูกถ่าย ไขกระดูสันหลัง ดังเช่นผู้ป่วย ที่กล่าวมาในข้างต้น
2. การเริ่มยาต้านเอชไอวี อย่างเร็วภายใน 2 สัปดาห์แรก ก่อนที่ผลตรวจเลือด จะออกมาเป็นบวก
3. การรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การใช้ยาบางชนิดเพื่อกระตุ้นเชื้อเอชไอวี ให้ออกมาจากเซลล์
ทั้งนี้ การรักษาการติดเชื้อเอชไอวี ให้หายขาดได้ ปัจจุบันทางการแพทย์ ยังอยู่ในระหว่าง การวิจัย และคิดค้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การที่ทราบว่าตนเอง นั้นมีความเสี่ยง และเข้ารับ การตรวจเลือด เพื่อหาการติดเชื้อเอชไอวี เพื่อให้ได้รู้ผลที่แน่ชัด และได้รับการรักษา ที่ถูกวิธีโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากคุณมีความกังวล ว่าได้รับความเสี่ยง ในการติดเชื้อเอชไอวีมาแล้ว ควรเข้ารับการตรวจเลือด เพื่อยืนยันผลที่แน่ชัด หรือสำหรับใคร ที่ไม่กล้า ที่จะไปตรวจตามโรงพยาบาล ก็แนะนำ ให้เลือกหาชุดตรวจ ที่คัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเอง ปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน มาตรวจเลือด เพื่อหาเชื้อเอชไอวี เพราะหากตรวจพบเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เตรียมเข้ารับการรักษา และรับยาต้านเชื้อเอชไอวี ทั้งนี้ก็หมั่นดูแลสุขภาพร่างกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
เมื่อไหร่ที่คุณควรไปตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี
ผู้ที่ควรไป ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี เนื่องจากได้รับความเสี่ยงมาโดยสามารถแจกแจงได้ดังนี้
- ไปมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้มีการป้องกัน กับผู้ที่เราไม่ทราบผลเลือด
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- ตนเองมีบาดแผล และพลาดสัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่งจากผู้ที่ไม่ทราบผลเลือด บาดแผลที่กล่าวถึง หมายถึงบาดแผลที่มีลักษณะ เป็นแผลในช่องปากขนาดเล็กแล้วทำการ Oral Sex และได้มีการหลั่งภายใน
- มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
- การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ผู้ที่ถูกล่วงละเมิอทางเพศไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม
- บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุที่นำไปสู่การติดเชื้อ HIV ได้
- หญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์ เป็นการตรวจเพื่อวางแผนการมีบุตร ซึ่งถ้าหากตรวจพบว่า ติดเชื้อเอชไอวี จะสามารถเข้าสู่กระบวนการดูแลคุณแม่ในการตั้งครรภ์ อย่างปลอดภัย และดูแลทารกในครรภ์ไม่ให้ติดเชื้อเอชไอวีจากคุณแม่ได้
- ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เนื่องจากหากพบโรคใดโรคหนึ่งของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แพทย์จะแนะนำให้ตรวจโรคอื่นๆ เพิ่ม
- ป่วยด้วยวัณโรค เนื่องจากเอชไอวี ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
- ทารกที่เกิดจากมารดาติดเชื้อ HIV