นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ดอภ.) แถลงความสำเร็จอย่างสูงในการผลิต ยาต้านไวรัสเอดส์ เป็นรายการแรกของประเทศไทย หลังจากที่ใช้เวลาในการพัฒนาถึง 16 ปี ล่าสุด วันที่ 2 พฤศจิกายน 2561 เว็บไซต์องค์การเภสัชกรรม รายงานว่า ผลิตภัณฑ์ยาต้านไวรัสเอดส์ ที่ได้รับการรับรอง เป็นยา Efavirenz Tablets 600 mg (ยาเอฟฟาไวเรนส์) ขององค์การเภสัชกรรม ได้รับรองมาตรฐานสากล WHO Prequalification Program (WHO PQ) จากองค์การอนามัยโลก (WHO) กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นยารายการแรกของประเทศไทย และเป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่ได้รับการรับรอง
การรับรองนี้ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ยาเป็นสากลที่ทั่วโลกยอมรับ เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพประสิทธิผล ความปลอดภัย เพื่อให้องค์กรสาธารณสุขนานาชาติจัดซื้อยาจากผู้ผลิต ซึ่งกองทุนโลกยูนิเซฟ ทำหน้าที่จัดซื้อยาให้กับประเทศสมาชิกหรือประเทศด้อยโอกาส โดยมี 20 ประเทศทั่วโลกสามารถซื้อได้
ขอบคุณที่มาของภาพ : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_1772152
ยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz Tablets 600 mg เป็นยาที่ผู้ป่วยเอดส์มีความจำเป็นต้องใช้ เนื่องจากเป็นยาต้านไวรัสที่แนะนำให้เป็นสูตรแรก (first line regimen) ตามแนวทางการตรวจรักษาและป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีของไทย ซึ่งปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อที่ใช้ยานี้ประมาณ 80,000 ราย โดย ยาต้านไวรัสเอดส์ Efavirenz จะช่วยลดปริมาณเชื้อ HIV ในร่างกาย และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดีขึ้น รวมทั้งลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ HIV เช่น การติดเชื้อของโรคฉวยโอกาสซึ่งเสี่ยงต่อการป่วยเป็นวัณโรค การติดเชื้อที่นำไปสู่การเป็นมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ให้ดีขึ้น
“ยาตัวนี้เป็นตัวแรกที่ให้กับผู้ติดเชื้อ เอชไอวี ทุกรายตั้งแต่ตรวจพบเชื้อในร่างกาย ซึ่งในประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อประมาณ 8 หมื่นราย และขณะนี้เตรียมพัฒนาโรงงานผลิตยารังสิตเฟส 2 มูลค่า 5.6 พันล้านบาท อยู่ระหว่างเปิดซองผู้รับเหมาคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในมกราคม 2562” นพ.โสภณ กล่าว
ด้าน ภญ.มุกดาวรรณ ประกอบไวทยกิจ รองผอ.อภ. กล่าวว่า อภ.พยายามมานานกว่า 16 ปี ก็สามารถพัฒนาและนำยาตัวนี้จนผ่านมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก คุณภาพเทียบเท่ายาต้นแบบ ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาดี มีคุณภาพจากเมื่อก่อนที่ยังไม่สามารถผลิตได้เองทำให้ราคาสูงกระปุกละกว่า 1 พันบาท แต่ ณ วันนี้ ผลิตได้เองทำให้ราคาลดลงเหลือเพียง 180 บาทต่อกระปุก
ภญ.มุกดาวรรณ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังยาของอภ.สามารถขึ้นทะเบียนได้รวดเร็วขึ้น ไม่ต้องผ่านกระบวนการ อย.ปกติของแต่ละประเทศ เพราะใช้ข้อมูลการรับรองขององค์กาอนามัยโลกได้เลย และตอนนี้ได้ส่งยาต้านไวรัสจีพีโอเวียร์ (VIR T) ซึ่งเป็นสูตรรวม กินแค่เม็ดเดียว ไปขอการรับรองจากองค์การอนามัยโลกเช่นเดียวกัน คาดว่าอีก 2 ปีจะทราบผล แต่มั่นใจว่าน่าจะสามารถผ่านได้ นอกจากนี้อนาคตยังเตรียมส่งยาต้านวัณโรค และยารักษาโรคมาลาเรียเข้าสู่การรับรองด้วย
ในอนาคตองค์การเภสัชกรรมเตรียมส่งยาต้านวัณโรคและยารักษาโรคมาลาเรีย เข้าสู่การรับรองด้วยจากองค์การอนามัยโลก ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงงานผลิตยารังสิตเฟส 2 มูลค่า 5,600 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในเดือน ม.ค.ปีหน้า เพื่อเพิ่มศักยภาพในผลิตยาสู่การแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ