ซิฟิลิส รักษาหาย ไหม

ซิฟิลิส รักษาหาย ไหม โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็น โรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ชนิดหนึ่ง ที่มีความร้ายแรง และ ติดต่อได้ง่าย ๆ ไม่น้อยไปกว่า โรคเอดส์

ซึ่ง สามารถพบเห็น ได้บ่อยรองลงมา จากโรค หนองในแท้ และ หนองในเทียม โรคซิฟิลิสนั้น ได้กลับมาระบาด อีกครั้งเนื่องจากสาเหตุที่ วัยรุ่นสมัยใหม่ ได้ไปมีเพศสัมพันธ์กัน โดยที่ไม่สวมถุงยางอนามัย

หรือ วัยรุ่นบางกลุ่มอาจ เปลี่ยนคู่นอนบ่อยเกินไป โดยทั่วไป โรคซิฟิลิสถูกจัดว่า เป็นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์

ดังนั้น วัยรุ่นส่วนใหญ่ ก็อาจจะเข้าใจว่า ต้องมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น จึงจะ สามารถติดซิฟิลิสได้ แต่แท้ที่จริงแล้ว การ จะติดโรคซิฟิลิสได้นั้น ไม่จำเป็นที่ จะต้องสอดใส่ เสมอไป เพราะโรคซิฟิลิสนั้น สามารถติดต่อกันได้ ผ่านการสัมผัส โดยตรงเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็น การจูบ การทำออรัลซ์เซ็กส์ การเลีย เยื่อบุตา โดยการกระทำนั้น ไปสัมผัสเข้ากับบาดแผล ของผู้ป่วยซิฟิลิส แม้เพียงแค่เล็กน้อย ก็สามารถ ติดเชื้อซิฟิลิสได้

ซิฟิลิส รักษาหาย ไหม

ซิฟิลิส รักษาหาย ไหม โรคซิฟิลิส ในปัจจุบันนี้ สามารถรักษา ให้หายขาดได้ หากมี การตรวจพบเชื้อซิฟิลิส ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น จะสามารถรักษา ให้หายได้ โดยการฉีดยาปฏิชีวนะ ประเภทเพนิซิลลิน เข้าไปในกล้ามเนื้อ ร่วมไปกับ การรับประทานยาต้าน หากผู้ป่วยบางราย ได้มีการติดเชื้อ มาเป็นเวลานาน ทางแพทย์ จะมีการเพิ่มขนาด ของยาเพื่อให้ การรักษามีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น และระยะเวลา ในการรักษานั้น ก็ขึ้นอยู่กับระยะโรค ที่เป็นด้วย โดยผู้ป่วย ก็ต้องปฏิบัติตาม คำแนะนำของแพทย์ อย่างเคร่งรัด และ รับยาอย่างสม่ำเสมอ ในระยะเวลาที่กำหนด

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า โรคซิฟิลิสนั้น จะสามารถรักษา ให้หายได้ แต่ก็ต้องทำการตรวจ หาเชื้อซ้ำอีกครั้ง 3 เดือน เป็นระยะเวลา ประมาณ 3 – 5 ปี หลังจากที่ได้เข้ารับ การรักษา เพราะเนื่องจาก ร่างกายอาจจะยังมีเชื้อ ในระยะที่แอบแฝง อยู่ภายในร่างกาย

ดังนั้น หากผู้ที่ติดเชื้อ ได้เข้ารับการรักษา และหายแล้ว ควรลด การมีเพศสัมพันธ์ ไปสักระยะก่อน เพื่อลดความเสี่ยง ของการติดโรค รวมถึงแพร่เชื้อ หรือเป็นการป้องกัน การแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น จนกว่า จะแน่ใจว่า เชื้อซิฟิลิส ได้หายขาดแล้ว

นอกจากนี้แล้ว การติดเชื้อซิฟิลิส ก็ยังสามารถมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น มาอีกระดับ คือ อาจมีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งก่อให้เกิด โรคเอดส์ได้ด้วย

โดยทั่วไป พบว่า ผู้ป่วยติดเชื้อซิฟิลิส มีโอกาสเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี ได้มากถึง 2 – 5 เท่า ของคนปกติทั่วไป เพราะการติดเชื้อซิฟิลิสนั้น จะทำให้ภูมิคุ้มกัน ภายในร่างกาย เกิดการอ่อนแอ และบกพร่องลง จึงเป็นสาเหตุ ที่อาจทำให้ผู้ป่วย ซิฟิลิสสามารถเกิดโรคแทรกซ้อน ที่เป็นการติดเชื้อเอชไอวี ได้อีกด้วย อีกทั้งด้วยคนเป็นซิฟิลิส จะมีบาดแผลริมแข็ง ซึ่งเป็นอาการของโรค ทำให้เสี่ยง ได้รับเชื้อเอชไอวี ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ได้ง่ายขึ้นจากทางบาดแผล

อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่มีความกังวลใจ ก็ควรทำการตรวจ เพื่อวินิจฉัย หาการติดเชื้อ ซึ่งในปัจจุบัน ก็ได้มีชุดตรวจ ที่สามารถทำการ ตรวจได้ด้วยตนเองที่บ้าน ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นทางออก สำหรับผู้ที่ไม่กล้าเดินทาง ไปตรวจตามสถานพยาบาล หรือคลินิก ได้ทำการตรวจ เพื่อวินิจฉัยเบื้องต้น เพื่อคลายความกังวลใจ เพราะหากตรวจพบ เชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เข้ารับการรักษา และรับยาต้าน ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม

ทั้งนี้ ชุดตรวจที่สามารถทำการตรวจได้ด้วยตนเอง เป็นเพียงการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น หากผลตรวจออกมาแล้วไม่ว่าจะเป็นบวกหรือเป็นลบก็ตาม ก็ควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันผลตรวจที่แน่ชัด

Anti TP คือ อะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับซิฟิลิส

Anti TP คือ

Anti TP คือ อะไร เกี่ยวข้อง อย่างไร กับซิฟิลิส โรคซิฟิลิส (syphilis) นับเป็นอีกหนึ่งโรค ที่มีการติดต่อ ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ ที่สามารถ พบได้มาก ในหมู่คนไทย โรคซิฟิลิสนั้น หากเป็นแล้ว จะสามารถรักษา ให้หายขาดได้ ซึ่งนอกจากผู้ที่เป็น โรคเอดส์ โรคหนองในแท้ หนองในเทียม โรคซิฟิลิส ยังเป็นโรค ที่สามารถติดต่อ ได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถือว่า เป็นโรคที่น่ากลัว โรคหนึ่งเลย

โรคซิฟิลิส จะมีสาเหตุที่เกิดจากการ ติดเชื้อแบคทีเรีย ที่ชื่อว่า Treponema Pallidum หากกล่าวว่า ทำไมซิฟิลิส ถึงได้น่ากลัว ก็อาจจะ เป็นเพราะเมื่อเชื้อ เข้าสู่ร่างกายแล้ว จะไม่มีการแสดงอาการใด ๆ ออกมาให้เห็นได้ชัด
แต่ซิฟิลิส ก็ยังสามารถ ติดต่อกันได้ แม้ไม่มีการแสดงอาการ และเมื่อรับเชื้อมาแล้ว ไม่ได้รับการตรวจ ก็อาจจะเป็นโรคเรื้อรัง นานกว่า 2 ปี และหากทำการรักษา ให้หายแล้ว แต่ได้รับเชื้อ มาใหม่ก็ยังสามารถกลับมาเป็นใหม่ ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ โรคซิฟิลิสอาจพบได้ 10-15 % ของโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ทั้งหมด และหากใคร ที่กำลังคิดว่า ตนเองนั้นอยู่ ในกลุ่มเสี่ยง ที่อาจก่อให้เกิด โรคซิฟิลิสนั้น ก็ควรศึกษา เกี่ยวกับโรคนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาการ สาเหตุ การติดต่อ วิธีการรักษา หรือแม้แต่ วิธีการตรวจ เพื่อเป็นแนวทาง ในการรับมือ

โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ที่มีสาเหตุมาจาก เชื้อ Treponema Pallidum ซึ่งในการตรวจหาเชื้อ ชนิดนี้ ด้วยวิธีการ Nucleic Acid Testing ยังคงไม่สามารถ นำมาใช้ตรวจได้ ในห้องปฏิบัติการทั่วไป

การตรวจทางซีโรโลยี (Serology) จะถูกนำมาใช้ ในการวินิจฉัย และถูกนำมาติดตาม วิธีการรักษา โรคซิฟิลิส ซึ่งในการทดสอบ จะแบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ

– การตรวจแบบ ใช้แอนติเจนไม่จำเพาะ (Non-Treponemal Test) วิธีการตรวจนี้ จะเป็นวิธี ที่ไม่ได้ตรวจหา เชื้อแอนติบอดีต่อเชื้อโดยตรง แต่วิธีการนี้ เป็นเพียงวิธีการตรวจ ที่ตรวจหาแอนติบอดี

ที่ร่างกายนั้นได้สร้างขึ้นมา โดยแอนติบอดี ชนิดนี้ จะเรียกว่า Reagin โดยทั่วไป จะสามารถพบได้ ในโรคชนิดอื่น ๆ ที่เนื้อเยื่อ ได้มีการทำลาย

– การตรวจแบบ ใช้แอนติเจนจำเพาะจากเชื้อ (Treponemal Test) ซึ่งจะเป็นการตรวจ หาเชื้อแอนติบอดีที่มีต่อเชื้อ Treponema Pallidum โดยตรง เป็นแอนติบอดีที่ร่างกายได้สร้างขึ้นมาหลังจากมีการติดเชื้อแล้ว ซึ่งชุดตรวจที่ใช้ตรวจด้วยวิธีการแบบจำเพาะจะมีหลักในการตรวจมากมายที่แตกต่างออกไป

ในปัจจุบัน วิธีการตรวจหาเชื้อ ในรูปแบบชุดตรวจ หาการติดเชื้อ Treponema Pallidum ได้มีการพัฒนาน้ำยา ที่ใช้ในการตรวจให้มีความไว และมีความจำเพาะสูงมากขึ้น คือ วิธีการตรวจแบบ Rapid Test ถือว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่ได้มีการพัฒนาขึ้นมา คือ Immuno Chromatographic Strip (ICS) โดยแอนติบอดีต่อเชื้อ Treponema pallidum ซึ่งจะทำปฏิกิริยา หรือจับกัน เรียกการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อนี้ว่า Anti TP คือ Anti: Antibody, TP: Treponema Pallidum

อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่กำลังมีความเสี่ยงเกี่ยวกับการก่อให้เกิดโรคซิฟิลิส ก็ควรทำการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ด้วยชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเอง ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน

โดยสามารถทำการตรวจได้ด้วยตนเองที่บ้าน ซึ่งชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเองเป็นเพียงการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น เพื่อเป็นทางออกให้กับผู้ที่ไม่กล้าเดินทางไปตรวจตามโรงพยาบาล หรือคลินิกต่าง ๆ
ดังนั้นหากผลตรวจที่ได้จะเป็นบวก หรือเป็นลบ ก็ควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้ง และหากยังไม่แน่ใจในผลตรวจ ก็ควรเดินทางไปตรวจตามโรงพยาบาลเพื่อยืนยันผลตรวจที่แน่ชัด

ใบ ผลตรวจเอดส์ ระบุอะไรไว้บ้าง

ใบ ผลตรวจเอดส์

ใบ ผลตรวจเอดส์ การตรวจ หาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ ในปัจจุบัน จะเป็นการตรวจ เพื่อวินิจฉัย หาภูมิต้านทาน ที่มีต่อเชื้อ ซึ่งวิธีการนี้ จะสามารถ ทำการตรวจ ได้หลายวิธีเช่นกัน เพราะการตรวจหาเชื้อ หากจะให้ได้ผลที่เร็ว ก็สามารถ ทำการตรวจ ได้จากเลือด น้ำลาย หรือปัสสาวะ เป็นต้น

ดังนั้น ก่อนจะมีการตรวจเลือด เพื่อหาเชื้อ ผู้ที่เข้ารับการตรวจ จะต้องได้รับการปรึกษา ถึงผลดี และผลเสีย ของการตรวจ และผลตรวจ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ความหวาดกลัว ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ปัญหาการใช้ชีวิต ที่ไม่เหมือนเดิม ปัญหาการจ้างงาน หรือ แม้แต่ปัญหา ที่อาจเกิดขึ้น จากครอบครัว เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การที่ได้เข้ารับ การตรวจเลือด หาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ ทางโรงพยาบาล ก็มักจะมีนโยบาย การปิดรายชื่อ ผู้ที่เข้ารับการตรวจ เพื่อลดสาเหตุ และปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

การตรวจเลือด หาเชื้อเอชไอวี สามารถทำการตรวจได้ 3 วิธี คือ
– การตรวจหาภูมิคุ้มกัน ที่เรียกว่า antibody หรือ Anti-HIV โดยปกติแล้ว หากร่างกาย ของเรา ได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว ก็ต้องรอระยะเวลา ในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ โดยจะเริ่มตรวจพบ ได้หลังจากการ ติดเชื้อประมาณ 3 สัปดาห์ และสามารถ ตรวจพบได้เกือบ 100% อยู่ที่ประมาณ 12 สัปดาห์ ดังนั้น หากรู้ตัวว่า ร่างกาย เริ่มจะมีการติดเชื้อ ผลตรวจที่เป็น Anti-HIV อาจจะออกมาเป็น Negative (Non-Reactive) ก็เป็นได้ ฉะนั้นเ ราจึงจำเป็น ที่จะต้องรอไปอีกประมาณ 12 สัปดาห์ และตรวจซ้ำ อีกครั้ง หากผลตรวจ ในรอบนี้ออกมาเป็น Negative นั่นก็หมายความว่า ไม่มีการติดเชื้อ

– การตรวจแบบหาส่วนประกอบของเชื้อเอชไอวี เช่น

1. การตรวจแบบสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี (Nucleic acid test หรือ NAT ) โดยการตรวจด้วยวิธีนี้จะสามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 7-28 วันหลังจากรับเชื้อมา

2. การตรวจแบบหาโปรตีนของเชื้อเอชไอวี (p24 antigen testing) วิธีการนี้จะสามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 5 วันหลังจากที่ได้รับเชื้อมา ซึ่งจะมีความไวในการตรวจเจอต่ำกว่าวิธีการตรวจแบบ NAT

– วิธีสุดท้ายคือ การตรวจหาภูมิคุ้มกัน และการตรวจหา ส่วนประกอบของเชื้อร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่เข้ารับ การตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ โดยทั่วไป ในใบผลตรวจ จะมีการแสดงรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับ ผลตรวจหาเชื้อ โดยผู้ป่วย บางราย ก็อาจจะไม่เข้าใจใน ใบ ผลตรวจเอดส์ ว่าหมายความ ว่าอย่างไร ซึ่งในใบผลตรวจเอชไอวี ก็จะแสดงผลตรวจต่าง ๆ ที่อาจ ทำให้ ผู้ตรวจนั้นไม่เข้าใจบ้าง แต่โดยหลัก ๆ ที่จะแสดง ในใบผลตรวจเลย คือ ผลตรวจแบบ HIV Negative (ผลลบ) และ HIV Positive (ผลบวก) นั่นหมายความว่า
– HIV Negative (ไม่มีการติดเชื้อเอชไอวี)
– HIV Positive (ติดเชื้อเอชไอวี)

นอกจากนี้ในใบผลตรวจ ก็ยังคง มีการแสดงข้อมูลแบบอื่น ๆ ออกมา ให้เห็น แต่ก็ขึ้น อยู่กับทางโรงพยาบาล หรือ คลินิก ที่ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจ

ดังนั้น หากรู้ตัวว่า มีความเสี่ยง ก็รีบทำการตรวจ ตั้งแต่เนิ่น ๆ หากไม่กล้า เดินทาง ไปตรวจตามโรงพยาบาล ปัจจุบันก็มี ชุดตรวจเอชไอวีด้วนตนเอง เพื่อเป็นทางออกแก่ผู้ที่เกรงกลัวต่อสายตาบุคคลในสาธารณะ โดยชุดตรวจด้วยตนเองจะเป็นแบบตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้น ที่มีความแม่นยำ ปลอดภัย ได้มาตรฐาน และหากผลตรวจออกมาบวกหรือลบ

อย่างไรก็ตามควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันผลตรวจที่แน่ชัด

ชุดตรวจน้ำลาย ตรวจเอชไอวี

ชุดตรวจน้ำลาย

ชุดตรวจน้ำลาย ปัจจุบัน การตรวจโรค ได้พัฒนามากขึ้น มาจากแต่ก่อน ที่ตรวจโรค จากเลือดเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การตรวจเอชไอวี ซิฟิลิส หรือโควิด เพราะในอดีต การใช้น้ำลาย ในการตรวจหาโรค ยังคงมีความแปรปรวน หรือทำให้เกิดผลปลอม ได้ง่าย อีกทั้งปริมาณเชื้อ ที่อยู่ในน้ำลาย นั้น มีปริมาณน้อย การตรวจน้ำลาย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ สำหรับวงการ ทางการแพทย์ แต่ที่แปลกใหม่ สำหรับบุคคลทั่วไป เพราะทุกวันนี้ ชุดตรวจน้ำลาย มีการพัฒนา ให้สามารถตรวจบางโรค ได้อย่างแม่นยำแล้ว และประสิทธิภาพ ในการตรวจนั้น ก็สามารถทำได้ดีขึ้นเช่นกัน

ลักษณะของน้ำลาย
น้ำลาย เป็นของเหลว ที่มีความหนืด เล็กน้อย เพราะน้ำลาย มีน้ำอยู่ถึง 99% ส่วนที่เหลืออีก 1% คือ เมือก เอนไซม์ต่างๆ สาร แร่ธาตุ อิเล็กโทรไลต์ ซึ่งมีความสำคัญ ต่อสุขภาพปาก และฟัน การย่อยอาหาร และการกำจัด เชื้อโรค องค์ประกอบ ในน้ำลาย เหล่านี้ มีส่วนช่วย ให้ระบบภูมิคุ้มกัน และการย่อย อาหาร มีประสิทธิภาพ มากขึ้น

หน้าที่ของน้ำลาย
1. การหล่อลื่น น้ำลายช่วย ให้ภายในปาก เราไม่แห้ง ช่วยในการ กลืนอาหาร คลุกเคล้าอาหาร

2. การละลาย อาหาร เพื่อให้เรา ได้รับรู้ รสชาติ อาหารจะอร่อย หรือไม่อยู่ที่ว่าเรา ได้รับรส หรือไม่ ซึ่งน้ำลาย จะช่วยในการละลาย อาหารต่างๆ ที่เข้าสู่ปาก ทำให้รสชาติ ในอาหารนั้นละลายออกมา และรับรสด้วยลิ้น

3. มีประโยชน์ ต่อสุขภาพช่องปาก น้ำลายช่วย เคลียร์สิ่งต่างๆ ในช่องปาก ให้สะอาด เพราะสารและเอนไซม์ ในช่องปาก มีส่วนช่วยทั้ง ในเรื่องของการกำจัด เชื้อโรคต่างๆ ลดการก่อตัว  นอกจากนี้ น้ำลายยังช่วย เคลือบฟัน ป้องกันฟันผุ โรคเหงือก

4. การย่อยอาหาร น้ำลายเป็นด่านแรก ของการย่อยอาหาร โดยจะช่วย ย่อยพวกแป้ง ให้เป็นมอลโทส (maltose) และเดกซ์ทริน (dextrin) ซึ่งเป็นโมเลกุล ที่มีขนาดเล็กลง นอกจากนี้ น้ำลายยังช่วย ลดความเป็นกรด ในกะเพราะอาหารอีกด้วย

ถึงแม้ว่า น้ำลายจะมีประโยชน์ แต่ก็ยังคง เป็นแหล่งของเชื้อโรค ที่ถึงแม้ จะมีน้อย แต่ก็อาจส่งต่อ ไปสู่ผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะผ่านการจูบ การใช้ช้อนเดียวกัน หรือหลอดดูดน้ำร่วมกัน โรคติดต่อ ที่สามารถติดต่อ ผ่านน้ำลาย ได้อย่างเช่น ไข้หวัดต่างๆ โรคเยื่อหุ้มสมอง อักเสบ เริม ไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ

ชุดตรวจโรค ด้วยน้ำลาย อย่างเช่น โรคเอชไอวี ถูกพัฒนา เพียงเพื่อ ต้องการ ให้การตรวจโรค ง่ายขึ้น และดูไม่น่ากลัว โดยการตรวจนั้น ง่ายมากแทนที่คุณ จะต้องโดนเจาะเลือด แต่กลับว่าเพียงแค่เก็บตัวอย่างน้ำ ในช่องปากของคุณ มาเท่านั้น ก็สามารถตรวจได้แล้ว

คุณหมอ หรือพยาบาล จะเก็บตัวอย่าง โดยใช้ไม้เก็บตัวอย่าง สว็อบในช่องปาก ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น ตามเนื้อเยื่อ กระพุ้งแก้ม ตามซอกเหงือก และนำเก็บ ลงในหลอดเก็บตัวอย่าง และหลังจากนั้น ก็นำไปตรวจ ด้วยน้ำยา สำหรับการตรวจ โรคเอชไอวี และสามารถ รู้ผลได้ ภายในไม่กี่นาที เพราะการตรวจโรค จากน้ำลาย นั้นมักจะ เป็นชุดตรวจแบบ Rapid test คือ ตรวจง่าย รู้ผลรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม การตรวจโรค ในปัจจุบัน ก็ยังคงเน้น ไปที่การตรวจ จากเลือดมากว่า เนื่องจากค่า ความแม่นยำและ ความไว นั้นยังคงสูง กว่าการตรวจ ด้วยน้ำลายเล็กน้อย ทำให้การตรวจโรค ด้วยน้ำลาย ยังคงจำกัด อยู่ในเฉพาะบางโรค และกับบางหน่วยงาน เท่านั้น

การตรวจคัดกรองเอชไอวี อีกหนึ่งทางเลือก ที่นอกเหนือ จากการตรวจ ตามโรงพยาบาล และคลินิก คือ การตรวจคัดกรอง เอชไอวีด้วยตนเอง โดยตรวจ จากเลือด ที่ปลายนิ้ว เพียงไม่กี่หยด ก็สามารถรู้ ผลได้เลย ภายในไม่กี่นาที

ตรวจเลือดธรรมดา จะเจอเอดส์ไหม

ตรวจเลือดธรรมดา จะเจอเอดส์ไหม

ตรวจเลือดธรรมดา จะเจอเอดส์ไหม การตรวจเลือด นับว่า มีความจำเป็น อย่างมาก สำหรับ การวินิจฉัย เกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ของทางแพทย์ เพราะเลือด ถือเป็นตัวกลางสำคัญ ในการนำพาสารอาหาร น้ำ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าไปสู่ร่างกาย

เลือดยังมีหน้าที่ในการรับ และนำพาสารต่าง ๆ ที่ร่างกาย ได้ปล่อยออกมาไว้ ซึ่งสารเหล่านี้ อาจเข้าสู่ร่างกาย ได้จากการกิน หายใจ หรือแม้กระทั่ง การซึมเข้าผ่าน ทางบาดแผล และเข้าสู่กระแสเลือด ในที่สุด ดังนั้น การตรวจเลือด จึงเป็นวิธีการ ที่สำคัญ ในการตรวจหา สารปนเปื้อน หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าไปสู่ร่างกาย ได้อย่างแม่นยำ มากที่สุด

โดยทั่วไปแล้ว หากเรารู้สึกว่าร่างกาย ของเรามีความผิดปกติ หรืออาจมีไข้ ก็อาจจะมา ปรึกษาแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ ที่เกิดขึ้นของอาการป่วยนั้น ๆ โดยแพทย์ ก็จะมีการซักถาม เกี่ยวกับประวัติ และอาจ มีการตรวจร่างกาย เจาะเลือด เพื่อตรวจหาสาเหตุ การตรวจเลือด เป็นการตรวจ ในรูปแบบใดบ้าง

การตรวจเลือด เพื่อวินิจฉัยหาโรคต่าง ๆ อาจจะดู เป็นวิธีการ ที่ธรรมดา แต่การเจาะเลือด เพื่อวินิจฉัย จะช่วยให้เรารู้ ถึงสาเหตุ ที่อาจเกิดขึ้น เกี่ยวกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้อักเสบ อาหารเป็นพิษ เป็นต้น

โดยข้อมูล ที่ได้หลังจากตรวจเลือดแล้วนั้น จะสามารถนำมาใช้ ในด้านการรักษาอาการต่าง ๆ ของโรคได้ ดังนั้น ผู้ป่วยบางราย ที่ไม่มีการแสดงอาการ หรือไม่มีการแสดงความผิดปกติ ของโรค หากมีการตรวจเลือด

เพื่อวินิจฉัยหาโรคต่าง ๆ อาจจะทำให้รู้ หรือทราบถึงโรคร้าย ที่แอบแฝงอยู่ ภายในร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็น โรคเอดส์ระยะแรก หรือแม้แต่โรคอื่น ๆ ที่ไม่มีการ แสดงอาการในระยะแรก

อย่างไรก็ตาม โรคเอดส์ (AIDS) ไม่สามารถติดต่อกันได้ง่าย ๆ อย่างที่ใครหลายคนคิด ขึ้นชื่อว่าเอดส์ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องติดเสมอไป ซึ่งก็อาจมีปัจจัย มากมายหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง กับปริมาณของเชื้อไวรัส หากสิ่งที่เราไปสัมผัสนั้น มีปริมาณของเชื้อไวรัสอยู่มาก โอกาสในการติดเชื้อก็จะยิ่งสูง

แต่ถ้ามีปริมาณของไวรัส น้อยโอกาสในการติดเชื้อ ก็จะลดลงตามปริมาณ เช่น เลือด , น้ำอสุจิ , น้ำจากช่องคลอด , บาดแผล เป็นต้น โดยการตรวจเลือด จะเป็นการนำเลือด ไปตรวจคัดกรอง และวิเคราะห์หาสิ่งต่าง ๆ ภายในร่างกาย ซึ่งภายในเลือด ของเรา จะมีสารประกอบ ที่มากมายผสมผสานกันอยู่

ดังนั้น การตรวจเลือด จึงมีความจำเป็น ที่จะต้องเลือก วัดค่าใดค่าหนึ่ง โดยปกติแล้ว ร่างกายของเรา หากมีการตรวจเลือด ก็จะตรวจค่า ความเข้มของเลือด ซึ่งปริมาณ ของเม็ดเลือดขาว และปริมาณของเกร็ดเลือด ภายในร่างกาย หรือหากมีโรคประจำตัว ร่วมด้วยแพทย์ ก็จะทำการตรวจเลือดเพิ่ม เป็นต้น ในกรณี ของการตรวจเลือดเอชไอวี HIV ผู้ที่ตรวจ จะต้องแจ้ง กับทางแพทย์ผู้ตรวจ เพื่อขออนุญาต ในการตรวจเลือด หาเชื้อเอชไอวี

ตรวจเลือดธรรมดา จะเจอเอดส์ไหม  ดังนั้นการตรวจเลือด ในรูปแบบธรรมดา จะไม่สามารถตรวจ เจอเอดส์ได้ เพราะในการตรวจหา จะมีการใช้น้ำยาคนละแบบ หากมีการตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็จะใช้น้ำยาเฉพาะ ในการตรวจหาเชื้อ นอกจากนี้แล้ว หากผู้ที่มีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อ ก็ให้รีบทำการตรวจ หากไม่กล้าเดินทาง  ไปตรวจที่สถานพยาบาล  ปัจจุบัน ก็ได้มีชุดตรวจเอดส์ ที่สามารถทำการตรวจ ด้วยตนเอง เพื่อคัดกรองเบื้องต้น เพื่อเป็นทางออก สำหรับผู้ที่ไม่กล้า เดินทางไปตรวจ โดยชุดตรวจจะเป็นการตรวจ เพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น หากผลตรวจ ออกมาเป็นบวก หรือลบ ก็ให้ทำการตรวจซ้ำ อีกครั้งเพื่อยืนยันผลตรวจที่แน่ชัด

ตรวจซิฟิลิส ราคา เท่าไหร่

 

ตรวจซิฟิลิส ราคา
ตรวจซิฟิลิส ราคา เท่าไหร่ โรคซิฟิลิสเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า Treponema pallidum โดยหลักๆ ในการติดเชื้อชนิดนี้จะติดจากช่องทางการมีเพศสัมพันธ์

อย่างเช่น ปาก อวัยวะเพศ ทวารหนัก ซึ่งมักจะมีบาดแผลของการเป็นโรคซิฟิลิส ทำให้เมื่อมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือไม่ระมัดวัง และได้สัมผัสกับแผลซิฟิลิสนั้น ก็จะสามารถติดเชื้อได้

และอีกช่องทางหนึ่งที่สำคัญจะเกิดขึ้นกับเด็กแรกเกิด ซึ่งมีการติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์จากผู้เป็นแม่ที่ติดเชื้อซิฟิลิส โดยสามารถติดได้ทั้งระหว่างตั้งครรภ์หรือระหว่างคลอด โดยวิธีการแก้ปัญหากรณีนี้ คือ ก่อนการตั้งครรภ์ควรจะปรึกษาแพทย์ให้เรียบร้อย เพื่อวางแผนและตรวจสุขภาพเตรียมพร้อมตั้งครรภ์

การตรวจซิฟิลิส โดยหากไปตรวจที่โรงพยาบาล จะได้รับการตรวจคัดกรองก่อน หากพบว่าติดเชื้อ จะได้รับการตรวจยืนยันอีกครั้ง ปัจจุบันจะมีการตรวจใน 2 ลักษณะ คือ

1. วิธี non-treponemal test (Non-TP) เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันที่มีต่อสิ่งที่เชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum สร้างขึ้น ซึ่งเป็นการตรวจภูมิคุ้มกันแบบไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อ เช่น การตรวจ VDRL และ PRP

2. วิธี treponemal test (TP) เป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum ที่ทำให้เกิดโรค เช่น การตรวจ FTA-ABS, TPPA, TPHA และ ICT

ขั้นตอนการตรวจในโรงพยาบาลตอนนี้ คือ ตรวจคัดกรองด้วยวิธี Non-TP ก่อน และตรวจยืนยันด้วยวิธี TP อีกครั้ง เนื่องจากการตรวจแบบ TP มีราคาค่อนข้างสูง และบางโรงพยาบาล หากตรวจคัดกรองแล้วพบว่าติดเชื้อ อาจให้เข้าสู่ระบบการรักษาได้เลยแบบไม่ต้องตรวจยืนยัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์

ตรวจซิฟิลิส ราคา เท่าไหร่ ค่าใช้จ่ายในการตรวจ
การตรวจโรคซิฟิลิสนั้นย่อมมีค่าใช้จ่าย แต่ราคาจะสูงหรือต่ำ ขึ้นกับสถานที่ๆ คุณไปตรวจ และวิธีที่ใช้ตรวจ

  •        คลินิกนิรนาม
    – ตรวจซิฟิลิสวิธี RPR มีอัตราค่าบริการ 100 – 200 บาท รอผล 1 ชั่วโมง
    – ตรวจซิฟิลิสวิธี treponemal test มีอัตราค่าบริการ 200 – 300 บาท รอผล 1 ชั่วโมง
  •         คลินิกเอกชน
    – ตรวจแบบรวดเร็ว ตรวจแบบง่าย มีอัตราค่าบริการเริ่มต้น 500 บาท รอผล 15 นาที
    – ตรวจซิฟิลิส VDRL ประมาณ 100 – 300 บาท รอผล 1 ชั่วโมง
    – ตรวจแบบ RPR ประมาณ 100 – 300 บาท รอผล 1 ชั่วโมง
    – ตรวจแบบ TPHA ประมาณ 200-500 บาท รอผล 1 ชั่วโมง
    – FTA-ABS IgG มีอัตราค่าบริการเริ่มต้น ราคา 600 บาท รอผล 3 วัน
    – FTA-ABS IgM มีอัตราค่าบริการเริ่มต้น ราคา 600 บาท รอผล 3 วัน
  •        สำหรับโรงพยาบาลรัฐบาลนั้น ขึ้นอยู่กับสิทธิประกันสังคม ประกันสุขภาพต่างๆ ที่คุณมี หากมีค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 50 – 500 บาท
  •        โรงพยาบาลเอกชน ค่าใช้จ่ายในการตรวจจะแตกต่างกันไปในแต่ละโรงพยาบาล ดังนั้น การติดต่อสอบถามล่วงหน้าจะสามารถช่วยได้
    อย่างไรก็ตาม หากไม่มั่นใจว่าต้องเตรียมเงินไปเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ การที่ท่านติดต่อสอบถามเรื่องราคา ขั้นตอนการตรวจ จะสามารถช่วยให้คุณเตรียมพร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ และเงิน ไว้ก่อนได้

อีกทางเลือกหนึ่ง หากคุณต้องการตรวจซิฟิลิส แต่ไม่กล้าจะเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลอื่นๆ แต่อยากจะรู้สถานะเลือดของคุณไว้บ้าง ว่ามีความเสี่ยงหรือไม่ สมควรเดินทางไปตรวจที่สถานพยาบาลหรือไม่ คุณสามารถหาซื้อชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง แบบรู้ผลรวดเร็วมาลองตรวจได้ก่อน โดยที่คุณสามารถรู้ผลได้ภายในไม่กี่นาที

ถ้าสงสัย หรือลังเลว่าจะมีความเสี่ยง ควรทำอย่างไร
จริงๆ แล้ว หากคุณมีอาการที่เกิดขึ้น อย่างเช่นบาดแผลซิฟิลิส แพทย์สามารถวินิจฉัยผ่านทางบาดแผลได้ แต่เพื่อให้ผลแน่ชัด และรู้ได้จริงๆ ก็คือ ตรวจ การตรวจจะช่วยให้คุณทราบผลได้ชัดเจน โดยที่คุณสามารถตรวจได้ตามสถานพยาบาลเพื่อยืนยันผลไปเลย หรือตรวจเพื่อรู้สถานะเลือดเบื้องต้นได้ด้วยการตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง หากพบว่าผลเป็นบวก จึงเดินทางไปตรวจที่สถานพยาบาลอีกครั้งเพื่อยืนยันผล

อย่างไรก็ตาม หากไม่อยากเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ การป้องกันทุกครั้งในการมีเพศสัมพันธ์ก็ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด และรองลงมา คือ การไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือถี่ ที่สำคัญควรพาตนเองและคู่นอนไปตรวจก็สามารถช่วยได้

เราควร ตรวจเลือดหลังเสี่ยง 3 เดือน อีกหรือไม่ HIV

ตรวจเลือดหลังเสี่ยง 3 เดือน

ตรวจเลือดหลังเสี่ยง 3 เดือน การตรวจเลือด เพื่อ หาเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบัน การตรวจแต่ละแบบนั้น จะแตกต่างกันออกไป หากคุณ ติดเชื้อเอชไอวี แล้วระบบภูมิคุ้มกัน ภายในร่างกาย จะสร้างภูมิคุ้มกัน ขึ้นมาเพื่อ ต่อสู้กับเชื้อไวรัส ที่เข้าสู่ร่างกาย โดยการตรวจ เอชไอวี จะใช้หลัก ในการตรวจหาภูมิคุ้มกัน ในเลือด

ซึ่งปกติ หลังจากตรวจ ครั้งแรกแล้ว ก็ควรตรวจอีกครั้ง ประมาณ 3 เดือน หลังจากเสี่ยง ติดเชื้อเอชไอวี จึงจะมั่นใจได้ โดยทั่วไป เราจะเรียก ช่วงระยะเวลา 3 เดือนนี้ว่า “ระยะฟักตัว (window period)” ซึ่งเป็น

ช่วงเวลา ที่มีการติดเชื้อ เอชไอวีแล้ว แต่บางครั้ง อาจจะยังไม่สามารถ ตรวจพบได้ ซึ่งเป็นส่วนน้อย หากผลเลือด ที่ออกมา ทำให้คุณเข้าใจ ผิดว่า ร่างกายไม่ได้ติดเชื้อ

โดยในทางปฏิบัติ หากมีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี แล้วก็ควรทำ การตรวจซ้ำอีก 3 เดือน หลังจาก ที่ตรวจครั้งแรกไปแล้ว

การเข้ารับ การตรวจเลือด เพื่อหา เชื้อเอชไอวีนั้น สิ่งที่ต้องคำนึง ถึงในการตรวจ คือ ร่างกาย อาจมีโอกาส ที่จะตรวจ ไม่พบแอนติบอดี ในผู้ที่ติดเชื้อ มาแล้ว เนื่องจากเชื้อเอชไอวี จะอยู่ในช่วงระยะฟักตัว เรียกว่า “window period” จะใช้ระยะเวลา ประมาณ 1-3 เดือน เพื่อตรวจหา แอนติบอดี ต่อเชื้อ อย่างต่อเนื่อง โดยตรวจครั้งสุดท้าย ที่หลัง 3 เดือน ก็เพียงพอ ที่จะมั่นใจได้แล้ว

ตรวจเลือดหลังเสี่ยง 3 เดือน HIV ในระยะฟักตัวนี้ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อแล้ว จะสามารถแพร่เชื้อ ไปสู่ผู้อื่นได้ ถ้าหากว่า มีพฤติกรรมเสี่ยง และไม่มีการป้องกันใด ๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น เทคโนโลยี ในการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ เพื่อวินิจฉัย หาสาเหตุ ของการติดเชื้อเอชไอวี ได้มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง

จนทำให้ สามารถลดระยะเวลาของ window period ให้สั้นลง จนสามารถ ทำการวินิจฉัย การติดเชื้อเอชไอวี ได้เร็วที่สุดประมาณ 2 สัปดาห์ หลังการติดเชื้อ

อย่างไรก็ตาม การตรวจเลือด เพื่อหา การติดเชื้อเอชไอวีนั้น ถ้าจะให้ผลตรวจ ที่ชัดเจน และเชื่อถือได้นั้น ต้องเป็นการตรวจ ห่างจากความเสี่ยง จากครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 1 เดือน

และตรวจติดตาม อีกครั้งหลัง 3 เดือน เพราะเป็นการตรวจเลือด หาเชื้อในช่วงเวลา ที่จะสามารถให้ผลตรวจ ที่มีความแม่นยำมากถึง 99.9%

การเข้ารับการตรวจ หลังจากที่ได้รับความเสี่ยง ครั้งสุดท้ายอย่างน้อย 1 เดือน ผลตรวจ ที่น่าเชื่อถือได้ จะอยู่ที่ประมาณ 95% ดังนั้น หากต้องการความแม่นยำ และความน่าเชื่อถือมากขึ้น และเพื่อเพิ่มความสบายใจ คุณสามารถ เข้ารับการตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 3 เดือน หลังจาก ที่ได้รับความเสี่ยง ในครั้งสุดท้ายได้

จากข้างต้น ที่กล่าวมา หากผู้ที่มีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี ควรทำ การตรวจคัดกรองเบื้องต้น ด้วยชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเอง ที่มีความปลอดภัยแม่นยำ มาตรฐานเดียวกัน กับโรงพยาบาล

ตรวจเพื่อคลาย ความกังวลใจ เพราะหากรู้ผลตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ จะได้เข้ารับการรักษา และรับยาต้านได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้การตรวจ ด้วยชุดตรวจเอชไอวี เป็นเพียง การตรวจ เพื่อ คัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น

หากผลตรวจ ออกมาเป็นบวก หรือลบ อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ให้ทำการตรวจซ้ำ อีกครั้ง หลังจากที่ตรวจครั้งแรก เพื่อยืนยัน ผลการตรวจที่แน่ชัด

ซิฟิลิส จูบ จะติดเชื้อไหม

ซิฟิลิส จูบ

ซิฟิลิส จูบ จะติดโรคหรือเปล่า กลับมา ระบาดอีกครั้ง ในหมู่วัยรุ่น วัยทำงาน และวัยผู้ใหญ่ ซิฟิลิส โรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ที่อันตรายมากๆ เพราะอาจไม่มี อาการแสดงออกมาให้เห็น จนกว่า จะถึงระยะสุดท้าย โรคซิฟิลิส อันตรายแค่ไหน และติดต่อ ทางใดบ้าง ไปดูกัน

โรคซิฟิลิส เกิดจาก การติดเชื้อแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า ทรีโพนีมาพัลลิดุม (Treponema pallidum) มีขนาดเล็กมาก ต้องใช้ เครื่องมือพิเศษ ในการส่องมอง โดยแบคทีเรียนี้ มีลักษณะ เป็นเกลียวสว่าน (Spirochete bacteria) หากอยู่ในร่างกาย สามารถอาศัยอยู่ได้ ทุกที่ ทุกส่วน แต่หาก อยู่ข้างนอก จะอ่อนแอมาก ไม่ทน ต่อสภาพอากาศ ตายได้ง่ายๆ แค่เพียงล้างด้วยสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ

การส่งต่อโรคจากคนสู่คน

สามารถติดต่อ ได้จาก 3 ช่องทางหลักๆ ได้แก่
1. ติดต่อผ่าน ทางการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทาง ช่องคลอด ทางทวาร ทางช่องปาก
2. จากแม่สู่ลูก ขณะที่ ตั้งครรภ์อยู่ หรือขณะคลอด
3. การใช้เข็มฉีดยา ร่วมกัน
โดยคีย์เวิดหลักๆ ของการติดโรค คือ การมีบาดแผล การสัมผัสแผลซิฟิลิส โดยแผลนั้น มักจะขึ้น ตามที่ลับ ทำให้คู่นอน มักจะสัมผัส กับแผลนั้น แบบไม่รู้ โดยที่ ตัวผู้ป่วยเอง ก็อาจจะไม่รู้เช่นกัน เชื้อจะเข้าสู่ร่างกาย ผ่านทางเยื่อเมือก เช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก ช่องปาก เยื่อบุตา หรือ เข้าผ่านทางรอยถลอก หรือบาดแผลเล็กน้อยที่ผิวหนัง
ดังนั้น หากรับเลือด มาจากผู้ป่วย ก็สามารถติดได้ การใช้ของมีคม ร่วมกัน และทำให้เกิดแผล การจูบทั้งๆ ที่มีบาดแผล ในช่องปาก

ทำแบบนี้ไม่ติดซิฟิลิส

เชื้อซิฟิลิสอ่อนแอ และตายง่าย ในสภาพแวดล้อมภายนอก เชื้อ จึงไม่สามารถติดต่อกันได้ผ่าน
– การสัมผัสมือ
– เสื้อผ้า
– การนั่งโถส้วม
– การจับลูกบิดประตู
– การใช้ช้อนส้อม
– การเล่นในอ่างอาบน้ำหรือสระว่ายน้ำร่วมกัน

ซิฟิลิส จูบ ติดเชื้อไหม

จูบ ใครคิด ว่า ไม่สำคัญ การจูบ สามารถทำให้ติดโรคต่างๆ ได้มาก แน่นอนเลยว่า ซิฟิลิส นั้น เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการจูบ จะติดซิฟิลิส ได้อย่างไร แต่อย่าลืมว่า ซิฟิลิส สามารถติดต่อ ผ่านทางบาดแผล ของผู้ป่วยได้ ดังนั้น การจูบ กรณี
– ผู้ป่วยซิฟิลิสมีบาดแผลในช่องปากปาก และคู่นอนมีแผลที่ปาก = มีโอกาสติดเชื้อสูงมาก
– ผู้ป่วยซิฟิลิสมีบาดแผลในช่องปาก และคู่นอนไม่มีแผลที่ปาก = มีโอกาสติดเชื้อสูง
– ผู้ป่วยซิฟิลิสไม่มีบาดแผลในช่องปาก และคู่นอนมีแผลที่ปาก = มีโอกาสติดเชื้อปานกลาง
– ผู้ป่วยซิฟิลิสไม่มีบาดแผลในช่องปาก และคู่นอนไม่มีแผลที่ปาก = มีโอกาสติดเชื้อน้อย
อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าควรทำการตรวจดู หรือเดินทางไปพบแพทย์เพื่อดูอาการ

หลายคน อาจจะคิดว่า โรคซิฟิลิส ไม่รุนแรง สามารถรักษา ให้หายได้ แต่อย่าลืมว่า โรคนี้ มีหลายระยะ และบางระยะ อาจจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาเลย อีกทั้ง ผู้ป่วยในระยะที่ 1 และ 2 จะมีปริมาณเชื้อ จำนวนมาก หากมีเพศสัมพันธ์ สามารถติดเชื้อ ได้มากกว่า 60% และส่วนใหญ่ ผู้ป่วยก็มักไม่รู้ตัว ว่าป่วยเป็นโรคซิฟิลิส เพราะอาการที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะต่างๆ มักหายไปได้เองแม้ไม่มีการรักษา

การป้องกันโรคซิฟิลิส

การสวมใส่ถุงยางอนามัยในทุกๆ กิจกรรมทางเพศสัมพันธ์ แต่หากแผลซิฟิลิสนั้นอยู่นอกขอบเขตของถุงยางที่จะสามารถป้องกันได้ การแพร่เชื้อก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้อยู่ ดังนั้นคุณควรที่จะระมัดระวังให้มาก หากคุณมีคู่นอนมากกว่า 1 คน

การมีคู่นอนเพียงคนเดียวในระยะยาวนั้น อาจเป็นตัวช่วยที่ดี ที่คุณสามารถจะหลีกเลี่ยงโรคซิฟิลิส และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้

โรคซิฟิลิสระบาด การกลับมาของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

โรคซิฟิลิสระบาด

โรคซิฟิลิสระบาด โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย ทริปโปนีมา พัลลิดัม (Treponema Pallidum) ซึ่ง เป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่ติดต่อ ผ่านทาง การมีเพศสัมพันธ์ และ ผ่านทางแผลได้ หากเรา ได้รับเชื้อ จากแผล ของผู้ป่วย

โดยแผลเหล่านี้ จะเกิดตามอวัยวะเพศ แล้วหากคู่นอน ได้สัมผัส กับเชื้อแบคทีเรีย เช่น อวัยวะเพศช่องคลอด ช่องปาก ทวารหนัก ซึ่งจะได้รับเชื้อ ผ่านทาง การทำออรัลเซ็กส์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ อื่น ๆ ร่วมด้วย

เมื่อช่วงทศวรรษ 1990 ที่ผ่านมา จำนวนสถิติ ของผู้ป่วยซิฟิลิส ได้มีการลดลง ในระดับที่น่าพอใจ จึงทำให้ ผู้คนไว้วางใจ แล้วว่า โรคซิฟิลิส ที่ร้ายแรงนี้ จะหมดไป จากโลกใบนี้ แต่ปัจจุบัน โรคซิฟิลิส ก็กลับมา ระบาดอีกครั้งและปริมาณ ของผู้ป่วย ยังมีสถิติ ที่เพิ่มขึ้น จนน่าตกใจ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ มักจะอยู่ในวัย 15-24 ปี ซึ่งก็คือ วัยเจริญพันธุ์นั่นเอง

โรคซิฟิลิสกลับมาระบาดได้อย่างไร

โดยสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ โรคซิฟิลิส กลับมาระบาด อีกครั้งนั้น เกิดจากการที่ วัยรุ่นส่วนใหญ่ ไม่สวมใส่ ถุงยางอนามัย ขณะที่มีเพศสัมพันธ์ การเปลี่ยนคู่นอน หลายคน

รวมไปถึง การได้รับข้อมูล เรื่องเพศสัมพันธ์ ไม่เพียงพอ ต่อการป้องกันตนเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ ทางโรงพยาบาลบางรัก ได้มีการออกมาให้ข้อมูล เกี่ยวกับการกลับมา ระบาดของโรคซิฟิลิส ให้ข้อมูล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

โรคซิฟิลิสระบาด แพทย์ให้ข้อมูลว่า ประเทศไทย มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่กลับมาระบาดอีกครั้ง ซึ่งสถิติ ของผู้ที่ติดเชื้อ มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จากการติดเชื้อซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศ สัมพันธ์ส่วนใหญ่แล้ว จะพบในหมู่ของวัยรุ่น มากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ซิฟิลิสนั้น ยังคงสามารถ พบได้ในทุกเพศทุกวัย รวมไปถึงทารก ที่เกิดจากมารดา ที่ไม่ทราบว่าตนเองนั้น ติดเชื้อซิฟิลิส

อาการของโรคซิฟิลิสเป็นอย่างไร

หลังจากที่ ได้มีการติดเชื้อ ไปแล้ว ผู้ป่วยอาจจะมี แผลริมแข็ง แต่ไม่เจ็บ โดยจะเกิดขึ้น ตามอวัยวะเพศ หรือตามร่างกาย และหลังจากนั้น แผลที่เกิดขึ้น ก็จะหายไปเอง เวลาผ่านไป เชื้อจะเริ่มขยับขึ้นมา กลายเป็นระยะ ที่สอง

ซึ่ง ในระยะที่ 2 นี้ อาจจะมีผื่นขึ้น ตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาจจะทำให้ ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ และมีแผลขึ้น บริเวณอวัยวะเพศ แต่สำหรับ บางคนอาจ ไม่มีการแสดงอาการ ในขณะที่บางคน มีการแสดงอาการ แล้วก็หายไปเอง

แต่หลังจากนั้น เชื้อซิฟิลิส ก็จะยังอยู่ ภายในร่างกาย ของเราไปเรื่อย ๆ จนถึงระยะที่ 3 โดยใช้ระยะเวลา ประมาณ 10 ปี เชื้อแบคทีเรียนี้ ยังสามารถ ทำให้เป็นซิฟิลิส ที่หลอดเลือดหัวใจ สมอง และยังสามารถ ทำลายเข้าไปถึงกระดูกได้

แต่อย่าพึ่งตกใจไป โรคซิฟิลิส สามารถรักษา ให้หายขาดได้ และวิธีป้องกันตนเอง คือ การไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ สวมถุงยางอนามัย ทุกครั้ง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ หากมีความกังวล หรือมีอาการ ที่ผิดปกติ ควรไปพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจและรักษา

 

 

อย่างไรก็ตามหากคุณไปรับความเสี่ยงมา ก็ควรทำ การตรวจหาเชื้อ โดยใช้วิธีการตรวจด้วย ชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน มาทำการตรวจคัดกรองเบื้องต้นก่อน

ซึ่งการใช้ ชุดตรวจด้วยตนเอง จะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่กล้าเดินทางไปตรวจตามสถานพยาบาล หรือคลินิกต่าง ๆ เพราะหากตรวจคัดกรองด้วยตนเองแล้วพบว่ามีการติดเชื้อ หรือไม่มีการติดเชื้อ ก็อย่างพึ่งวางใจ แต่ให้ทำการตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันผลตรวจที่แน่ชัด

ตรวจเลือดที่บ้าน ดีอย่างไร ตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง

ตรวจเลือดที่บ้าน

ตรวจเลือดที่บ้าน การตรวจเลือด นับเป็นอีก หนึ่งวิธี ที่สำคัญ เพราะเป็นการบ่งชี้ การทำงาน ของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งจะเป็น การตรวจ เพื่อวิเคราะห์หา ปัจจัยความเสี่ยง ของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจเลือด เพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถยืนยัน ได้ว่าร่างกายของคุณนั้น มีความผิดปกติ หรืออาจพบโรคบางโรคได้

เพราะโรคบางชนิด อาจต้องทำการตรวจ หลายอย่างเพื่อยืนยัน ผลเลือดที่ชัดเจน และอาจมีปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ที่อาจทำให้ผลเลือดนั้น อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ปกติ เช่น ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม การออกกำลังกาย อยู่ในช่วงมีประจำเดือน หรือการใช้ยาบางชนิด

ดังนั้นแล้ว จึงต้องมีการตรวจเลือดในครั้งต่อไป เพื่อหาสาเหตุ ที่แน่ชัด ทั้งนี้ การตรวจเลือด เป็นเพียงวิธีการพื้นฐาน ที่สำคัญ และมีความจำเป็น โดยปัจจุบัน การตรวจเลือด อาจตรวจได้หลายวิธี

ตรวจเลือดที่บ้าน ทว่าสมัยปัจจุบันนี้ การเดินทางไปตรวจเลือด ตามสถานพยาบาล หรือคลินิกต่าง ๆ จะมีความยุ่งยาก และลำบากสำหรับผู้ที่สนใจ และผู้ที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะ ผู้ที่มีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี จะมีความเขินอาย ต่อสายตา ที่ถูกมองอย่างน่ารังเกียจ ดังนั้น การที่จะเดินทาง ไปตรวจตามสถานพยาบาล จึงไม่ค่อยนิยม สำหรับบางคน

ฉะนั้น การตรวจเลือดด้วยตนเองที่บ้าน นั้นจะค่อนข้าง ได้รับความนิยม ในหมู่ที่มีความเสี่ยง ชุดตรวจ จึงมีความปลอดภัย และผลข้างเคียง อาจเกิดขึ้นได้น้อยมาก โดยส่วนใหญ่ อาการที่พบ ก็มักจะเป็นอาการ พกช้ำ หรือมีอาการปวด ตามบริเวณ ที่ทำการเจาะเลือด เพราะเนื่องจาก แรงกดที่มาก และนานหลายนาที และหลังจากนั้น อาการก็จะดีขึ้นเอง ตามปกติ

ปัจจุบันทาง อย. ได้ทำการปลดล็อคชุดตรวจ ที่สามารถทำการตรวจ ได้ด้วยตนเองที่บ้าน สามารถหา ซื้อชุดตรวจHIV ได้แล้วตามร้านขายยา หรือหาซื้อได้ตามอินเตอร์เน็ต แทนที่จะเดินทาง ไปตรวจตามสถานพยาบาล หรือคลินิกต่าง ๆ

โดยชุดตรวจ ที่วางขายนั้น จะต้องแสดงรายละเอียด อย่างชัดเจน เช่น วิธีการใช้งาน วิธีการอ่านผล วิธีการเก็บรักษา คำเตือน และข้อควรระวัง เป็นต้น

ตรวจเลือดที่บ้าน โดยชุดตรวจ ที่ได้รับความนิยม เป็นอย่างดี คือ ชุดตรวจแอนติบอดี ต่อเชื้อเอชไอวี ซึ่งแอนติบอดี เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ที่อยู่ภายในร่างกายของเรา โดยจะสร้างขึ้น มาเพื่อเจาะจงกับ เชื้อโรคชนิดต่าง ๆ ถ้าหากมีการติดเชื้อเอชไอวี แอนติบอดี ที่จำเพาะ ต่อเชื้อเอชไอวี สร้างขึ้นมา ดังนั้น หากมีการตรวจพบแอนติบอดี ต่อเชื้อเอชไอวี จึงสามารถบอกได้ว่า ร่างกายมีการติดเชื้อ เอชไอวีมาก่อนแล้ว

ชุดตรวจชนิดนี้ ได้มีการผลิตมา ตั้งแต่ค้นพบเชื้อเอชไอวีใหม่ ๆ และได้มีการพัฒนามาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน จึงได้มีชุดตรวจ ที่สามารถทำการตรวจ ได้ด้วยตนเอง และยังสามารถ ทราบผลเลือด ได้เพียง 15-20 นาที อีกด้วย

โดยชุดตรวจดังกล่าว เป็นชุดตรวจคัดกรองเบื้องต้น จึงเหมาะ สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี และไม่กล้าเดินทาง ไปตรวจตามสถานพยาบาล หรือคลินิก

ชุดตรวจ ถูกออกแบบมา ให้ใช้งานได้ง่าย ไม่มีความยุ่งยาก เพียงแค่เจาะเลือดที่ปลายนิ้ว แล้วหยดเลือด ลงบนอุปกรณ์ หลังจากนั้น รอผลประมาณ 15-20 นาที เพียงแค่นี้ ก็สามารถทราบผลเลือดได้แล้ว ว่าร่างกาย ของคุณมีการติดเชื้อ หรือมีการผิดปกติอะไรบ้าง

ทั้งนี้ หากคุณ มีความเสี่ยง ต่อ การติดเชื้อเอชไอวี ก็ควรทำการตรวจ โดยเร็วที่สุด เพราะหากรู้ผลตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เข้ารับการ รักษาโรคเอชไอวี ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเอง เป็นเพียงชุดตรวจ ที่ตรวจเลือด สำหรับการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น ไม่ได้ตรวจเพื่อหาสาเหตุของโรคอื่น ๆ ร่วมด้วย