ตรวจซิฟิลิส กี่วัน หลังเสี่ยง

ตรวจซิฟิลิส กี่วัน โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ที่ถือว่ามีความร้ายแรงเป็นอย่างมาก การติดเชื้อของซิฟิลิส ไม่แค่ต้องมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่เชื้อสามารถติดต่อได้ผ่านทางการสัมผัสต่าง ๆ เช่น แผลติดเชื้อ การจูบ จากแม่สู่ลูก เป็นต้น สมัย

ปัจจุบันนี้หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าโรคซิฟิลิสไม่ร้ายแรง หรือน่ากลัวแต่อย่างใด สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่อย่าลืมไปว่าโรคซิฟิลิสนั้นมีหลายระยะ ซึ่งบางระยะก็อาจไม่มีการแสดงอาการออกมาให้เห็น และผู้ป่วยที่ติดเชื้อบางรายอาจไม่รู้ตัวว่าตนเองนั้นติดเชื้อ จนกระทั่งเชื้อซิฟิลิสได้พัฒนาไปสู่ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ จึงจะแสดงอาการออกมาให้เห็น

หากผู้ป่วยไม่ได้เข้ารับการรักษา เชื้อซิฟิลิสที่อยู่ภายในร่างกายจะมีการแพร่กระจายเชื้อไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว จนอาจส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายโดยเฉพาะระบบประสาท ซึ่งจะเกิดการทำงานที่ผิดปกติ หรือร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้พิการ และเสียชีวิตลงได้

 

ตรวจซิฟิลิส กี่วัน

 

นอกจากนี้ การตรวจหาเชื้อซิฟิลิส สามารถทำได้หลากหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้ตรวจมากที่สุดก็จะมี 2 วิธีด้วยกัน คือ

– การตรวจแบบชนิดไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส การตรวจด้วยวิธีการนี้เป็นการตรวจแบบคัดกรองเบื้องต้น ซึ่งจะเรียกการตรวจนี้ว่า RPR

– การตรวจแบบชนิดเฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส วิธีการตรวจนี้จะมีความแม่นยำสูงสำหรับเชื้อซิฟิลิสโดยเฉพาะ วิธีการตรวจดังกล่าวจะมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และต้องอาศัยความชำนาญมากกว่าวิธีการตรวจแบบแรก แต่วิธีการนี้จะมีประโยชน์มากกว่า เพราะสามารถยืนยันการวินิจฉัยของโรคซิฟิลิสในกรณีที่ยังไม่มีอาการแสดงออกมาให้เห็นได้ชัด โดยจะเรียกวิธีการตรวจนี้ว่า FTA-ABS

ตรวจซิฟิลิส กี่วัน ก็ตาม การตรวจหา เชื้อซิฟิลิสด้วยวิธีการ RPR ที่เป็นการตรวจ แบบชนิด ไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อ จะสามารถตรวจเจอเชื้อซิฟิลิส หลังจากที่ได้รับเชื้อมาแล้ว และจะเริ่มแสดงอาการ ออกมาให้เห็น ในระยะเริ่มแรก คือ มีแผลตามอวัยวะเพศ ซึ่งระยะหลังจาก ที่ได้รับเชื้อมา จนกระทั่ง มีการแสดงอาการ คือ ประมาณ 10-90 วัน กว่าจะตรวจพบ บางรายอาจใช้ระยะเวลานานถึง 90 วัน ทั้งนี้ หากรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อซิฟิลิสมา แนะนำว่าสามารถทำการตรวจได้ที่ 30 วันหลังจากได้รับความเสี่ยง

นอกจากวิธี การตรวจหาเชื้อซิฟิลิส ข้างต้นแล้ว ปัจจุบัน ก็ยังมีอีกวิธีการ ที่สามารถตรวจหาเชื้อซิฟิลิสได้ คือ การตรวจด้วยชุดตรวจคัดกรองซิฟิลิส การตรวจด้วยวิธีการนี้ จะมีขั้นตอนในการตรวจที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก และรู้ผลตรวจ ได้ภายในไม่กี่นาที อีกทั้ง ยังมีรูปแบบ ที่สามารถทำการ ตรวจได้ด้วยตนเอง ระยะเวลา ที่แนะนำให้ตรวจ คือ 30 วันหลังเสี่ยง

โดย ชุดตรวจคัดกรองซิฟิลิส ที่สามารถ ตรวจด้วยตนเอง จะต้องเลือกซื้อ กับร้าน ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน ซึ่งถือว่าเป็นทางออก ให้สำหรับผู้ที่ ไม่กล้าเดินทาง ไปตรวจตาม โรงพยาบาลในทันที หรือผู้ที่ไม่กล้า ที่จะเปิดเผยตัวตน ให้สังคมได้รับรู้

เพราะทุกคน ก็รู้กัน เป็นอย่างดี อยู่แล้วว่า โรคซิฟิลิส มีความน่ากลัว และร้ายแรง ไม่ต่างจากโรคเอดส์ จึงทำให้ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ไม่กล้าเปิดเผยตัวตน

ดังนั้น หากผู้ที่ กำลังมีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อ การเข้ารับ การตรวจ เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้ คุณคลายความกังวลใจ ได้ เพราะหากตรวจเจอ เชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เข้ารับ การรักษา ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม

ทั้งนี้ การตรวจด้วยวิธีการนี้ เป็นการตรวจ เพื่อคัดกรอง เบื้องต้น เท่านั้น หากผลตรวจ ที่ออกมาเป็นลบ ให้ทำการตรวจซ้ำ อีกครั้งที่หลัง 90 วัน เพื่อความมั่นใจ หากผลตรวจทั้งสองครั้ง เหมือนกัน เท่ากับว่า คุณปลอดภัย และได้โปรดระมัดระวังตนเสมอ อย่าได้รับความเสี่ยงเพิ่ม แต่หากคุณ เป็นผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ กับผู้ที่ไม่น่า ไว้วางใจบ่อย ๆ หรือเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ก็สมควร ที่จะตรวจซ้ำเรื่อย ๆ เพื่อ เป็นการเช็คตนเอง เพราะเรา ไม่มีทางทราบเลยว่า คนที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยนั้น เขามีเชื้อซิฟิลิสอยู่แล้ว หรือพึ่งได้รับเชื้อมา หรือไม่ หากตรวจเช็คเสมอ ก็จะทำให้รู้ตัวเร็วหากติดเชื้อซิฟิลิส และเข้าสู่การรักษาทัน

แต่หากผลเป็น บวก ก็ให้ทำการ ตรวจซ้ำอีกครั้งเช่นกัน เพื่อยืนยัน ผลตรวจที่แน่ชัด หากผล ทั้งสองครั้ง เหมือนกัน ให้ท่านเดินทาง ไปตรวจที่ สถานพยาบาล ได้ทันที

 

ชุดตรวจ Rapid Test สำหรับการตรวจ HIV

ชุดตรวจ Rapid Test

ชุดตรวจ Rapid Test โรคเอชไอวี (HIV) เป็นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการ มีเพศสัมพันธ์ โดยไม่สวมใส่ ถุงยางอนามัย หรืออาจมี การไปสัมผัสเข้ากับ สารคัดหลั่งของอีกฝ่าย และบริเวณอวัยวะเพศ เยื่อบุตา ปาก จมูก เป็นต้น

ดังนั้น หากผู้ที่ กำลังมีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อ ทางเดียว ที่จะทำให้คุณ คลายความกังวลใจ ได้นั้น คือ การเข้ารับ การตรวจหาเชื้อ เพราะหากปล่อยไว้ ไม่เข้ารับการรักษา เชื้อเอชไอวี อาจลุกลาม ไปสู่เอดส์ได้

ถึงตอนนั้น อาจจะทำให้ การรักษานั้น ยากมากยิ่งขึ้น เพราะระบบภูมิคุ้มกัน ภายในร่างกาย ได้ถูกทำลายลง อย่างหนัก จนไม่สามารถทำการต่อต้าน หรือกำจัดเชื้อ ที่เข้าไปสู่ร่างกายได้

อาจทำให้ผู้ป่วย ติดเชื้อสามารถ เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย และอาจเสียชีวิตลงด้วย โรคแทรกซ้อนได้ อย่างไรก็ตาม การเข้ารับ การตรวจ อาจเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้คุณ มีโอกาสหายจากโรคนี้ได้

ในปัจจุบัน การมีชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเอง จะทำให้ผู้ที่ มีความเสี่ยง สามารถตรวจหาเชื้อ ได้อย่างรวดเร็ว โดยจะไม่ปล่อย ให้ตนเองนั้นตรวจพบการติดเชื้อ ในระยะ ที่มีการรักษาได้ยาก เพราะยิ่งตรวจเจอเชื้อเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งรักษาได้ง่าย และอาจมี คุณภาพชีวิต ที่ดีมากยิ่งขึ้น

และใช้ชีวิต อยู่ร่วมกับคน ในสังคม ได้อย่างปกติ การมีชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ชนิด Rapid Test นอกจาก จะสามารถ ทำการตรวจได้ด้วยตนเองแล้ว เราจำเป็นที่ จะต้องทำความเข้าใจ เกี่ยวกับ วิธีการใช้งาน วิธีการอ่านค่า อย่างละเอียด

เพื่อการใช้งาน ได้อย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพมากที่สุด หากในกรณี ที่มีการใช้ชุดตรวจ ที่ไม่ถูกต้อง อาทิเช่น อ่านค่าผิด ตรวจผิดเวลา หรือแม้กระทั่ง การตรวจเพียงครั้งเดียว อาจไม่สามารถ ยืนยันผลตรวจ ได้ชัดเจน 100%

ดังนั้น นอกจาก จะต้อง ทำความเข้าใจ เกี่ยวกับ ชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเองแล้ว การไม่ได้รับ คำแนะนำ จากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ อาจส่งผลทำให้ เกิดผลกระทบ มากมายต่อร่างกาย หรือทางจิตใจได้

อย่างไรก็ตาม หากมีการใช้ ชุดตรวจ Rapid Test แล้วพบว่ามีปฏิกิริยา (Reactive) ต้องเข้ารับการตรวจ เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย การติดเชื้อเอชไอวี กับทางโรงพยาบาล อีกครั้ง ซึ่งการตรวจเพียงครั้งเดียว อาจทำให้ ท่านไม่สบายใจ เพราะชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ชนิด Rapid Test เป็นเพียงการตรวจ เพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น ท่านสามารถตรวจซ้ำได้อีกครั้งในเวลาต่อมา เพื่อเช็คว่าผลเหมือนกัน หรือไม่

นอกจากนี้ การมี ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง แบบ rapid test วางจำหน่ายนั้น เพื่อเป็นทางออก ให้กับประชาชน สามารถเข้าถึงได้ง่าย ถือว่าเป็นเรื่องดี ที่จะช่วยให้ผู้ ที่กำลังมีความเสี่ยง แต่ไม่กล้าเดินทาง ไปตรวจตามโรงพยาบาล ให้สามารถ ทำการตรวจด้วยตนเอง

นอกจากจะช่วย คลายความกังวลใจแล้ว ยังช่วยลด การแพร่เชื้อไปสู่ ผู้อื่นได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ชนิด Rapid Test เป็นเพียงชุดตรวจ คัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น แต่ก็ยัง มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน

ดังนั้น หากผู้ที่ กำลังมีความเสี่ยง การ เข้ารับการตรวจ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้คุณ ได้ทราบถึง สถานะร่างกายว่า มีการติดเชื้อหรือไม่ เพราะหากตรวจเจอ เชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ โอกาสในการรักษาให้หายก็ยิ่งสูง แต่หากปล่อยไว้ ไม่ทำการตรวจ หรือทำการรักษา เชื้ออาจลุกลามไปถึงระยะที่สามารถทำการรักษาได้ยาก นอกจากจะรักษาไม่หายแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตลงได้อีกด้วย

ตรวจเอดส์ กี่วันรู้ผล

ตรวจเอดส์ กี่วันรู้ผล

ตรวจเอดส์ กี่วันรู้ผล เอชไอวี (HIV) เป็นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ชนิดหนึ่ง ที่อาจก่อให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ได้ในภายหลัง โดยเชื้อเอชไอวี จะกระจาย เข้าไปสู่ร่างกาย ผ่านทางกระแสเลือด

ซึ่งเชื้อ จะเข้าไป ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ให้มีการทำงาน ที่บกพร่อง จนทำให้ร่างกาย อ่อนแอลง จนก่อให้เกิด โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย และอาจเสียชีวิตลง ในที่สุด

วิธีเดียวที่จะทำให้รู้ว่า คุณติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ คือ การเข้ารับ การตรวจหาเชื้อเอชไอวี โดยเฉพาะ ผู้ป่วย ที่ติดเชื้อเอชไอวี อาจจะไม่ทราบว่า ตนเองนั้น มีเชื้อเอชไอวี อยู่ภายในร่างกาย เพราะเนื่องจาก การติดเชื้อในระยะเริ่มแรก อาจจะยัง ไม่แสดงอาการ ออกมาให้เห็น ถึงตอนนั้น เชื้อเอชไอวีก็อาจพัฒนาไปถึงขั้นโรคเอดส์แล้ว และเมื่อถึงขั้นโรคเอดส์

สภาพร่างกาย จะมีความอ่อนแอ จนทำให้ รักษาให้หายขาดได้ยาก ดังนั้น การเข้ารับ การตรวจ จึงเป็นทางออก ที่ดีที่สุด ตรวจเอดส์ กี่วันรู้ผล ในปัจจุบัน การตรวจเอชไอวี สามารถทำได้ 3 วิธีหลัก ๆ ด้วยกัน คือ

– การตรวจแบบ Anti-HIV การตรวจด้วยวิธีการนี้ จะสามารถ ให้ผลตรวจได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง หลังการตรวจ โดยผล ที่ได้จากกาตรวจจะเป็น ผลย้อนหลังประมาณ 1 เดือน คือ หากคุณ ไปมีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อมา เช่น มีเพศสัมพันธ์ โดยไม่สวม ถุงยางอนามัย หรือถุงยางอนามัย เกิดการรั่ว ซึ่งวิธีการตรวจนี้ จะใช้ไม่ได้ผล เพราะถือว่าเชื้อเอชไอวี ยังอยู่ในช่วงระยะ ของการฟักตัวอยู่

– การตรวจแบบ NAT การตรวจด้วยวิธีการนี้ จะมีความแตกต่าง จากการตรวจแบบ Anti-HIV ก็คือ จะสามารถให้ผลลัพธ์จากร่างกายของเรา ย้อนไปเพียงแค่ 3-7 วันเท่านั้น

หลังจาก ที่ได้รับความเสี่ยงมา การตรวจด้วยวิธี การนี้ผู้ที่มี ความเสี่ยง ก็สามารถเข้ารับการตรวจ แบบฟรี ปีละ 2 ครั้ง ได้ตามคลินิกนิรนาม หรือโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่

– การตรวจแบบ Rapid HIV Test หรือชุดตรวจแบบวันเดียวรู้ผล การตรวจด้วยวิธีการนี้ จะใช้เวลาในการ รอผลตรวจเพียง 20 นาทีเท่านั้น ซึ่งถือว่า มีความรวดเร็ว กว่าวิธี การตรวจแบบอื่น ๆ แต่การตรวจด้วยวิธีการนี้ ก็เป็นเพียงการตรวจเพื่อคัดกรอง เบื้องต้นเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบัน การตรวจด้วยวิธีการนี้ ก็สามารถทำการตรวจ ได้ด้วยตนเองที่บ้าน โดยไม่ต้อง เดินทางไปตรวจ ตามโรงพยาบาล

นอกจากนี้ ในปัจจุบันนี้มี ชุดตรวจเอชไอวี จำนวนมาก ที่สามารถให้คนทั่วไป ที่มีความเสี่ยงหาซื้อ กันได้อย่างง่ายดาย โดยจะมีทั้งชุดตรวจที่ผ่านการรองรับกับทาง อย. และชุดตรวจที่ไม่ผ่านการรองรับ ซึ่งหากผู้ที่มีความเสี่ยงต้องการที่จะทำการตรวจหาเชื้อ การเลือกซื้อ ชุดตรวจที่มีคุณภาพสูง หรือผลที่ได้มีความแม่นยำ

ผู้ซื้อ จะต้องทำการตรวจสอบ สถานะของสินค้า มาตรฐานสินค้า ความปลอดภัย หรือแม้กระทั่งร้านค้า ที่จัดจำหน่าย ว่ามีความน่าเชื่อถือ มากน้อยแค่ไหน

อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ก็สามารถ ให้ความแม่นยำ ได้มากกว่า 99% มีความปลอดภัย และได้มาตรฐาน ซึ่งก็ไม่ต่างจาก การเดินทาง ไปตรวจตาม โรงพยาบาล หรือคลินิก ทั้งนี้ ชุดเอชไอวีด้วยตัวเอง เป็นเพียง การตรวจคัดกรองเบื้องต้น เท่านั้น หากผลตรวจที่ได้ เป็นบวก ก็อาจจะดำเนิน การตรวจซ้ำ อีกครั้ง เพื่อคัดกรองผลให้แน่ชัด เมื่อเป็นบวกให้ดำเนินการไปตรวจยืนยันที่โรงพยาบาลทันทีเพราะหากรู้ผลตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เข้ารับ การรักษา ได้อย่างเหมาะสม หากผลเป็นลบ ก็แนะนำว่า ให้ตรวจหลังสามเดือน อีกหนึ่งครั้ง หากผลออกมาเป็นลบ ก็สามารถ สบายใจได้ทันที

 

น้ำยา GEN4 มีที่ไหนบ้าง ตรวจสุขภาพ ตรวจหาโรคเอชไอวี (HIV)

น้ำยา GEN4 มีที่ไหนบ้าง

น้ำยา Gen4 มี ที่ไหน บ้าง โรคเอชไอวี (HIV) เป็นเชื้อไวรัส ชนิดหนึ่ง ที่ก่อ ให้เกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งจะแพร่เชื้อ ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก โดยไม่ได้มีการป้องกัน เชื้อไวรัสเอชไอวีชนิดนี้ จะสามารถแพร่เชื้อ ได้ แม้มีเพศสัมพันธ์ ทางปาก หากไม่ได้ มีการป้องกัน ก็สามารถ ติดได้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้แล้ว เชื้อเอชไอวี ยังสามารถแพร่เชื้อ หรือติดต่อ ได้ผ่านทางเลือด การใช้ยาเสพติด หรือ การใช้เข็มฉีดยา ร่วมกับผู้อื่น ดังนั้นการเข้ารับ การตรวจ จึงเป็นทางออกที่ จะช่วยให้คุณ คลายความกังวลใจ  และหาสาเหตุ การติดเชื้อ เพื่อเข้า รับการรักษา ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม

การตรวจ หาเชื้อเอชไอวี ในสมัย ปัจจุบันนี้ เมื่อได้รับเชื้อ เข้าไปสู่ร่างกายแล้ว เชื้อเอชไอวี จะเข้าไปทำลาย เม็ดเลือดขาว และเข้าไปทำลาย ระบบภูมิคุ้มกัน ให้มีการทำงาน ที่บกพร่อง จนไม่สามารถต่อสู้ หรือกำจัดเชื้อ ที่เข้าไปสู่ ร่างกายได้

น้ำยา Gen4 มี ที่ไหน บ้าง โดยปกติแล้ว การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ส่วนใหญ่จะเป็น การตรวจหาสาร antibody ซึ่งเรา มีความจำเป็น ที่จะต้องรอ ให้ร่างกาย มีการสร้างแอนติบอดี ต่อเชื้อ ขึ้นมาก่อน จึงจะสามารถตรวจพบเชื้อได้ ในปัจจุบันโรงพยาบาลส่วนใหญ่ หากมีการตรวจ หาเชื้อเอชไอวี มักจะนิยมใช้ น้ำยา Gen 3 และน้ำยา Gen 4 ตรวจโดยการใช้น้ำยา 3rd Generation เป็นการตรวจหาแอนติบอดี ต่อเชื้อ ตรวจพบเชื้อได้ภายใน 21 วัน และน้ำยา 4th Generation เป็นการตรวจหา แอนติบอดีต่อเชื้อ และ P24 Antigen คือ จะเป็นการตรวจหาทั้ง แอนติบอดี และ แอนติเจน ซึ่งจะสามารถ ตรวจพบเชื้อ ได้ประมาณ 14 วัน นอกจากนี้ แล้วการตรวจหาเชื้อเอชไอวี โดยหลัก ๆ จะแบ่งวิธี การตรวจออกเป็น 3 วิธี คือ

– การตรวจแบบ Anti-HIV antibody วิธีการตรวจนี้ เป็นการตรวจหาภูมิต้านทาน แอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะทำการตรวจผ่านทางเลือด โดยจะมีการวินิจฉัย การทำงาน ของระบบภูมิต้านทาน ในเม็ดเลือดขาว ที่มีการต้านทานต่อเชื้อเอชไอวี วิธีการตรวจนี้ จะสามารถตรวจพบเชื้อ ได้ภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ – 3 เดือน หลังจากติดเชื้อมาแล้ว

– การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Testing) วิธีการตรวจนี้จะเป็นการตรวจ หาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวีด้วยการตรวจปริมาณของเชื้อภายในร่างกาย วิธีการตรวจนี้ทางแพทย์มักจะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยนั้นมีความเสี่ยงที่สูงมาก เพราะถือว่าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว ซึ่งสามารถตรวจพบเชื้อได้ภายในระยะเวลาเพียง 1-4 สัปดาห์เท่านั้น

– การตรวจแบบ PCR (Polymerase Chain Reaction) เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมในระดับอณูชีวโมเลกุล วิธีการนี้สามารถใช้ตรวจได้กับทารกที่อาจได้รับเชื้อมาจากมารดาหลังจากคลอดมาแล้วประมาณ 1 เดือน และสามารถใช้ตรวจได้กับผู้ใหญ่หลังจากได้รับเชื้อมาแล้ว หรือมีความเสี่ยงมาแล้วประมาณ 14 วันขึ้นไป
นอกจากนี้ หากใครที่กำลังมีความเสี่ยง และต้องการตรวจหาเชื้อด้วยน้ำยา GEN4 สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ตามโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลรัฐ หรือคลินิกนิรนามต่าง ๆ ที่มีการตรวจหาเชื้อด้วยน้ำยา GEN4 แนะนำว่าให้ติดต่อสอบถามก่อนเข้ารับการตรวจ

อย่างไรก็ตาม หากใคร ที่มีความเสี่ยง ต่อการได้รับเชื้อ และไม่กล้าเดินทางไปตรวจ ตามโรงพยาบาล หรือคลินิก ปัจจุบันนี้ก็ได้มีชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ที่ใช้น้ำยา GEN4 ในการตรวจหาเชื้อ โดยจะมีความไวในการตรวจ ให้ผลตรวจได้อย่างแม่นยำมากกว่า 99% ดังนั้นหากรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงก็รีบทำการตรวจตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะหากรู้ผลไวก็จะได้เข้ารับการรักษาได้อย่างถูกต้อง

ชุดตรวจ Syphilis คืออะไร โรคซิฟิลิสร้ายแรงแค่ไหน

ชุดตรวจ Syphilis

ชุดตรวจ Syphilis โรคซิฟิลิส (Syphilis) นับเป็น โรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ชนิดหนึ่ง ที่ไม่ใช่แค่ การมีเพศสัมพันธ์ เท่านั้น ที่จะสามารถติด โรคนี้ได้ โดยเชื้อซิฟิลิสนั้น จะสามารถแพร่กระจาย เข้าไปสู่ร่างกาย ของคนเราได้ ผ่านการสัมผัส การจูบ หรือแม้กระทั่งจากแม่สู่ลูก

สำหรับใครหลาย ๆ คนอาจจะมองว่าโรคซิฟิลิสนั้นไม่ได้มีอาการที่รุนแรง สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็อย่าลืมไปว่าโรคซิฟิลิสนั้นมีหลายระยะ และในบางระยะนั้น อาจจะไม่มีการแสดงอาการให้เห็น

ซึ่งผู้ป่วยบางคนอาจจะไม่รู้ว่าตนเองนั้นติดเชื้อ จนกระทั่งเชื้อได้เข้าสู่ระยะสุดท้าย ถึงจะแสดงอาการออกมาให้เห็น และหากไม่ได้เข้ารับการรักษา เชื้อจะแพร่กระจาย ไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว จนส่งผลทำให้ ระบบประสาท อวัยวะต่าง ๆ มีการทำงานที่ผิดปกติ หรืออาจถึงขั้นพิการ และเสียชีวิตลงได้

โรคซิฟิลิส เป็นโรคที่ร้ายแรงกว่าที่คุณคิด ซึ่งผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ก็จะมีการแสดงอาการ ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ระยะ โดยผู้ป่วยบางรายอาจมีการแสดงอาการสลับไม่เรียงตามระยะ ซึ่งระยะของโรคซิฟิลิสนั้นจะมีทั้งหมด 4 ระยะคือ

– ระยะที่ 1 อาการของโรคซิฟิลิส ในระยะแรก ผู้ป่วยจะมีแผลลักษณะ แข็งสีแดง เกิดขึ้นเล็กน้อย หรือเรียกว่า “แผลริมแข็ง” โดยจะเกิดขึ้น บริเวณช่องคลอด อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือปาก ผู้ป่วยบางราย อาจจะมีแผลเกิดขึ้น เพียงจุดเดียว หรือหลายจุดก็ได้ ซึ่งแผลที่เกิดขึ้นนั้น จะไม่มีอาการเจ็บปวด โดยจะแสดง อาการหลังจากได้รับเชื้อ เข้าสู่ร่างกายแล้วประมาณ 10 วัน – 3 เดือน หรือผู้ป่วยบางราย อาจมีการแสดงอาการ ที่เร็วกว่านั้นประมาณ 3 สัปดาห์ และหลังจากนั้นอาการดังกล่าวก็จะหายไปเองภายใน 3-6 สัปดาห์ แต่เชื้อซิฟิลิสก็จะยังคงกระจายอยู่ภายในร่างกาย

– ระยะที่ 2 ในระยะนี้อาการที่เกิดขึ้น หลังจากแผลริมหายไป แล้วประมาณ 1-3 เดือน ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นขึ้นตามลำตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรืออวัยวะเพศ จะมีลักษณะคล้าย ๆ กับหูด หรือตุ่มนูน ซึ่งผื่น ที่ขึ้นจะไม่มีอาการคันใด ๆ แต่จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อ แทน มีไข้ เจ็บคอ อ่อนเพลีย และผมร่วง โดยอาการเหล่านี้ จะหายไปเอง หรือกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง

– ระยะแฝง ผู้ป่วยในระยะนี้ ต่อเนื่อง มาจากผู้ป่วย ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษา ในระยะที่ 2 จนส่งผลให้เกิดเป็นระยะแฝง และอาจนำไปสู่ระยะที่ 3 ได้ง่ายมากขึ้น ในระยะแฝงนี้ เชื้อจะอยู่ภายในร่างกาย เป็นเวลานานหลายปี โดยมีการแสดงอาการ อย่างเห็นได้ชัด

– ระยะที่ 3 ในระยะสุดท้าย ของผู้ป่วยติดเชื้อ เกิดจากผู้ป่วย ไม่ได้เข้ารับการรักษา ที่ถูกต้อง ซึ่งมักจะแสดงอาการ หลังจากที่ได้รับเชื้อ มาแล้ว 10-20 ปี จึงทำให้เชื้อนั้น ลุกลามไปทั่วร่างกาย ส่งผลให้ร่างกาย ถูกทำลายมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็น สมองเสื่อม อัมพาต หูหนวก ตาบอด ไร้สมรรถภาพทางเพศ และอาจเสียชีวิตลง

นอกจากนี้ การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วย ชุดตรวจ Syphilis สามารถทำการตรวจ ได้หลากหลายวิธี แล้วแต่ระยะของเชื้อ ซึ่งในปัจจุบัน ก็ได้มีชุดตรวจที่สามารถ ทำการตรวจ ได้ด้วยตนเอง มีความรวดเร็ว ในการตรวจ และให้ผลตรวจ ได้อย่างแม่นยำ โดยใช้เวลาเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น

ซึ่ง ชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง สามารถทำการตรวจ ได้เองที่บ้าน มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน การมีชุดตรวจ ซิฟิลิสด้วยตนเองนั้น เป็นทางออก ให้แก่ผู้ที่มีความเสี่ยง และไม่กล้าเดินทาง ไปตรวจตามสถานพยาบาล เพราะไม่อยากเปิดเผยตัวตน ให้สังคมได้รับรู้

อย่างไรก็ตาม ชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง เป็นเพียงการตรวจ เพื่อคัดกรองเบื้องต้น เท่านั้น หากผลตรวจ ออกมาเป็นบวก หรือลบ ก็ให้เข้ารับการตรวจ ซ้ำอีกครั้ง เพื่อยืนยัน ผลตรวจที่แน่ชัด

 

ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม ?

ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ชนิดหนึ่ง ที่มีสาเหตุ มาจากการติดเชื้อ แบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า ทริปโปนีมาพัลลิดุม ( Treponema Pallidum ) เมื่อร่างกาย ได้รับเข้าไปแล้ว เชื้อจะกระจาย เข้าไปตามกระแสเลือด และอาศัยอยู่ ภายในร่างกาย ของเราเกือบทุก ๆ ส่วน

เมื่อเชื้อได้เข้าสู่ ร่างกายแล้ว หากปล่อยไว้ ไม่เข้ารับ การรักษาอาการ อาจมีความรุนแรง มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนอาจนำไปสู่ การเสียชีวิตลงได้

ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม

ในส่วนของ โรคเอดส์ (AIDS) โรคเอดส์ เป็นภาวการณ์ป่วย ในขั้นสุดท้าย ของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งหากร่างกาย ได้รับเชื้อ เข้าไปแล้ว เชื้อเอชไอวี จะเข้าไปทำลาย เม็ดเลือดขาว ทำให้มีระบบภูมิคุ้มกัน ที่มีความบกพร่อง จนไม่สามารถกำจัด หรือต่อสู้กับเชื้อ ที่เข้าไปสู่ ร่างกายได้ จึงทำให้ผู้ป่วย ที่ติดเชื้อเอชไอวี เกิดอาการ เจ็บป่วยต่าง ๆ และอาจนำไปสู่ การเสียชีวิตลงได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็ยังไม่มีวิธีการใด ที่สามารถรักษาโรคเอดส์ ให้หายขาดได้ มีเพียงแต่ยา ที่ช่วยชะลอการพัฒนาโรค และลดอัตรา ความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต ด้วยโรคเอดส์

ซิฟิลิส กับ เอดส์ เหมือนกันไหม ตอบได้เลยว่าไม่เหมือนกัน โรคซิฟิลิส (Syphilis) จะต่างจาก โรคเอดส์ (AIDS) ตรงที่สามารถ รักษาให้หายขาดได้ ในระยะที่หนึ่ง ระยะที่สอง ซึ่งทั้งสองระยะนี้ สามารถรักษาได้ ไม่ยาก อาจรักษา ด้วยการรับประทานยา หรือการฉีดยา โดยมีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ ในการดูแลรักษา จึงสามารถ ทำให้หายขาดได้

แต่ หากปล่อยไว้ไม่เข้า รับการรักษา การติดเชื้อ ในระยะที่หนึ่ง หรือสอง ที่มีโอกาสหาย อาจลุกลามไปถึงระยะที่สาม หรือสี่ ที่มีอาการร้ายแรงมากขึ้น จนสามารถ รักษาได้ยากขึ้น เพราะอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ได้ถูกทำลายไปบ้างแล้ว หากปล่อยไว้ อาจทำให้เสียชีวิตลงได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรคซิฟิลิสนั้น จะสามารถ รักษาให้หายขาดได้ แต่หากมีพฤติกรรมเสี่ยง ก็สามารถรับเชื้อเพิ่ม และกลับมาเป็นใหม่ได้ ดังนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งเลย คือ การหลีกเลี่ยง การไปสัมผัสกับเลือด สารคัดหลั่งของผู้อื่น เป็นต้น

ดังนั้น นอกจากโรคซิฟิลิส จะแตกต่าง กับโรคเอดส์ตรงที่ ซิฟิลิสสามารถ รักษา ให้หายขาดได้ ซึ่งจากต่างจาก โรคเอดส์ ที่ไม่สามารถ รักษาให้หายขาดได้ จะมีก็เพียง แต่ยาที่ช่วย ในการชะลอการพัฒนาโรค และลดอัตราความเสี่ยงในการเสียชีวิตลง ด้วยโรคเอดส์ก็เท่านั้น

ทั้งนี้ ทั้ง 2 โรค นับเป็นโรค ที่มีสามเหตุ มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย ถือว่าเป็นโรค ที่ร้ายแรงเป็นอย่างมาก ดังนั้น หากผู้ที่กำลัง มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อ ก็ควรทำการตรวจ ตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง และชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ที่มีความปลอดภัย แม่นยำและได้มาตรฐาน

โดยทาง อย. ได้มีการปลอดล็อค ให้สามารถ วางจำหน่าย ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ผ่านทางร้านขายยา หรือผ่านทางอินเตอร์เน็ต เพื่อให้ ประชาชนทั่วไป สามารถ เข้าถึงได้ง่าย และเพื่อเป็นทางออก ให้สำหรับ ผู้ที่มีความเสี่ง แต่ไม่กล้าเดินทาง ไปตรวจ ตามสถานพยาบาล หรือคลินิกนิรนาม

อย่างไรก็ตาม หากไปได้รับความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อมา ทางออก ที่ดีที่สุด ที่จะทำให้คุณคลาย ความกังวลใจได้ ก็คือ การตรวจคัดกรอง เพื่อหาสาเหตุ ของการติดเชื้อ เพราะหากรู้ผล ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็ได้เข้ารับการรักษา ได้อย่างถูกต้อง และ เหมาะสม

ตรวจ NAT 10 วัน ผลที่ได้แม่นยำแค่ไหน

ตรวจ NAT 10 วัน ตรวจเอชไอวีด้วยวิธีแนท เอชไอวี คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อไวรัส ที่มีชื่อว่า Human Immunodeficiency Virus เมื่อเข้าสู่ร่างกายไวรัสนี้จะขยายตัวและเพิ่มจำนวนมากขึ้น กระจายไปทั่วร่างกาย โดยเชื้อไวรัสนี้ มีกลไกในการทำลาย ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย

ที่ทราบกันดี คือ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีหน้าที่ในการปกป้องร่างกายจากการเกิดโรคต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งอาการไม่สบาย โดยจะช่วยกำจัดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอม ที่เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นการที่เชื้อไวรัส HIV เข้าสู่ร่างกาย นอกจากจะทำให้เกิดโรคแล้วยังทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอีก จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอและเป็นโรคแทรกซ้อน หรือโรคฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น ยิ่งส่งผลให้สุขภาพแย่ลง และอาการ ของโรคเอชไอวีหนักขึ้น และหากไม่มีการรักษา จะดำเนินเข้าสู่สภาวะเอดส์ กระทั่งเสียชีวิตในที่สุด

การตรวจคัดกรองเอชไอวี จึงเป็นสิ่งที่วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ ที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ หรือผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ ควรได้รับการตรวจ โดยวิธีการตรวจคัดกรองเอชไอวีในปัจจุบันสามารถเริ่มตรวจได้ตั้งแต่เสี่ยงมา 5-7 วัน หรือหากเป็นการเช็คสุขภาพเรื่อย ๆ อาจจะเลือกตรวจด้วยวิธีที่สามารถตรวจได้ที่ 14-21 วันก็ได้ วิธีตรวจคัดกรองเอชไอวีมีหลายวิธีแต่ที่นิยมใช้ตรวจคัดกรองในตอนนี้มีอะไรบ้าง

1. Anti-HIV ตรวจหาแอนติบอดี ที่ร่างกายสร้างขึ้น เฉพาะเพื่อกำจัดเชื้อเอชไอวี สามารถตรวจได้ เมื่อรับความเสี่ยงมา 21 วัน
2. Anti-HIV และ Antigen เป็นการตรวจหาทั้งแอนติบอดีที่มีต่อเชื้อเอชไอวี และแอนติเจนของเชื้อไวรัสเอชไอวี ในน้ำยาเดียวกัน สามารถตรวจได้เมื่อได้รับความเสี่ยงมา 14 วัน
3. ตรวจ NAT คือ การตรวจโดยใช้เทคนิค Nucleic acid Amplification Testing เทคนิคนี้จะใช้เอนไซม์ PCR เข้าไปตรวจจับตัวไวรัสเอชชไอวี สามารถตรวจได้ตั้งแต่ 5-7 วัน

ตรวจ NAT 10 วัน

สำหรับท่านใด ที่กังวลว่าได้รับความเสี่ยงมา และร้อนใจ สามารถตรวจได้เร็วสุดที่ 5-7 วัน ด้วยวิธีการตรวจแนท โดยที่ ๆ มีบริการตรวจแนท คือ สภากาชาด และโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของรัฐ หรืออย่างไรหากต้องการตรวจ ที่สถานพยาบาลใด ท่านสามารถติดต่อ สอบถามกับเจ้าหน้าที่ก่อนได้

สำหรับการ ตรวจ NAT 10 วัน หากผลเป็นลบ ก็สามารถสบายใจได้ เพราะผลที่ได้ คือ ผลย้อนหลัง 10 วัน ที่ผ่านมา และไม่ต้องกังวลเรื่องระยะ window period เพราะระยะเวลา ที่ตรวจได้ 5-7 วัน ที่กำนหดไว้นี้ เท่ากับระยะ window period นั่นเอง แต่หากท่านใด ที่ไม่สบายใจ สามารถตรวจซ้ำได้อีก ที่ระยะเวลาที่นานกว่านั้น ซึ่งในระหว่างที่รอตรวจอีกครั้ง ก็ไม่ควรรับความเสี่ยงเพิ่ม เพื่อผลที่ได้จะได้มีความถูกต้องแม่นยำขึ้น

เอชไอวี นอกจากจะติดเชื้อ ผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว ยังสามารถ ติดต่อได้ผ่านทาง การทำออรัลเซ็กส์ ผ่านทางเลือด การใช้สิ่งของที่มีความเสี่ยงร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา และสามารถติดต่อได้ จากแม่ที่ติดเชื้อสู่ทารกในครรภ์

อย่างไรก็ตาม หากไม่อยาก ที่จะต้องมากังวล เกี่ยวกับความเสี่ยง วิธีที่ง่ายที่สุด คือ สวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่จะมีเพศสัมพันธ์ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมอื่น ๆ ที่เสี่ยง ทำให้ติดโรคเอชไอวี แต่หากไม่มั่นใจ ว่าได้รับความเสี่ยงมา หรือไม่ ก็ควรที่จะตรวจให้ไวที่สุด หรือตรวจเช็คเสมอ ถ้าหากไม่ต้องการ ไปตรวจที่สถานพยาบาลเลย แต่อยากจะลองเช็คดูก่อน ท่านสามารถหาซื้อ ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง มาตรวจเองก่อนได้ เพื่อเป็นการคัดกรองด้วยตนเอง ว่ามีความเสี่ยงติดเชื้อหรือไม่ ทั้งนี้ควรเลือกชุดตรวจให้เหมาะสม กับระยะเวลาเสี่ยงผลที่ได้จึงจะแม่นยำ

หากท่านมีความเสี่ยง และรีบตรวจให้ไวที่สุด จะช่วยให้รู้ผลไวขึ้น หากพบว่ามีการติดเชื้อจะสามารถรับการรักษาได้ไวขึ้น ช่วยให้ลดอาการที่จะเกิดขึ้น หรือบางรายก็ไม่มีการแสดงอาการเลย

อีกทั้ง ยังช่วยทำให้ไวรัสไม่เพิ่มจำนวนขึ้น และลดปริมาณลงต่ำสุด เท่าที่จะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่า จะรักษาไม่หายขาด และต้องทานยาต่อเนื่องตลอดชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม มันจะช่วยให้คุณสามารถ ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติ โดยที่ไม่เจ็บป่วย ด้วยโรคเอชไอวี และมีอายุขัยยืนยาวเหมือนคนอื่น ๆ

ซิฟิลิส เลือดบวก หมายความว่าอะไร ติดต่อได้จากทางใดบ้าง

ซิฟิลิส เลือดบวก

ซิฟิลิส เลือดบวก หมายความว่าอะไร โรคซิฟิลิส (Syphilis) นับเป็นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ที่มีความร้ายแรง ไม่น้อยไปกว่า โรคเอดส์ เพราะเป็นโรคหนึ่ง ที่มีสาเหตุมาจากการ ติดเชื้อแบคทีเรีย โรคซิฟิลิสสามารถ รักษาให้หายได้ แต่หากปล่อยทิ้งไว้  ไม่เข้ารับการรักษา เป็นเวลานาน หรือในระยะยาว ซิฟิลิส อาจจะแสดงอาการหลากหลาย ภายในระบบร่างกาย ซึ่งถือว่าร้ายแรงมากกว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ชนิดอื่น ๆ

โดยโรคซิฟิลิสนี้ จะมีระยะ ที่สามารถแฝงตัว ของโรคที่ยาวนาน และ สามารถแพร่เชื้อ ไปสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย ในปัจจุบัน โรคซิฟิลิสเป็น โรคที่สามารถ พบได้บ่อย รองมากจากโรคหนองในแท้ และหนองในเทียม ซึ่งโรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้ ทั้งกับผู้ชาย และผู้หญิง

ซิฟิลิส เลือดบวก หมายความถึง การแปลผลตรวจซิฟิลิส โดยผลเลือดบวก สามารถแปลได้ว่า มีการติดเชื้อซิฟิลิส ต้องเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด

โรคซิฟิลิสนั้น สามารถติดต่อได้อย่างไร หากผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นซิฟิลิสนั้น เชื้อจะเข้าไปสู่ร่างกาย ซึ่งจะเข้าไปได้ผ่านทางการสัมผัสกับแผล หรือเชื้อโดยตรง ไม่ว่าจะเป็น การจูบ อม เลีย หรือแม้แต่ การไปสัมผัสกับบริเวณแผล โดยตรงในตำแหน่งของ ท่อปัสสาวะ ทวารหนัก ช่องคลอด ช่องปาก เยื่อบุต่าง ๆ หรือแม้แต่การไปสัมผัส กับแผลถลอกเล็กน้อย บนผิวหนังของผู้ติดเชื้อ และเมื่อเชื้อได้เข้าสู่กระแสเลือดแล้ว เชื้อซิฟิลิสจะเข้าไป จับตามอวัยวะต่าง ๆ แล้วทำให้สามารถ เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย ในระยะยาว หากผู้ที่กำลังมีความเสี่ยงนั้น โรคซิฟิลิส จะสามารถสังเกตให้เห็นได้ ตามระยะการติดเชื้อ คือ

– ระยะแรก ในระยะแรก ของซิฟิลิสนี้ จะเกิดขึ้นหลังจากที่ได้รับเชื้อมาประมาณ 3 สัปดาห์ โดยมักจะมีแผลบริเวณอวัยวะเพศ ลูกอัณฑะ ทางทวารหนัก บริเวณช่องคลอด และริมฝีปาก หากได้รับเชื้อมาจะเรียกว่า แผลริมแข็ง จะไม่รู้สึกเจ็บ แผลจะเรียบ หลังจากนั้นประมาณ 3 – 6 สัปดาห์ แผลนั้นจะหายไปเอง

– ระยะสอง หลังจากระยะแรก ผ่านไประยะที่สองจะเกิดขึ้น ประมาณ 2 สัปดาห์ – 2 เดือน จะเรียกว่า “ระยะออกดอก หรือระยะผื่น” โดยในระยะนี้ จะมีผื่นขึ้นตามร่างกาย เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ซึ่งจะเป็นลักษณะเฉพาะ เกิดขึ้นภายในปากได้ อาจมีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต หรืออาจจะมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้

– ระยะแอบแฝง ในระยะนี้ เชื้อที่อยู่ภายในร่างกาย จะไม่มีการปรากฏให้เห็น แต่หากทำการตรวจเลือด ก็อาจตรวจพบเชื้อได้

– ระยะสาม ในระยะที่สามนี้ จะเป็นระยะสุดท้าย ของการติดเชื้อ โดยทั่วไป อาการจะปรากฏ ได้ในสมอง ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่า “ซิฟิลิสขึ้นสมอง” โดยมีอาการคือ

1. เชื้อจะไปทำลาย ไขสันหลัง ทำให้ร่างกายอ่อนแอ เสียการทรงตัว เดินไม่ถนัด รู้สึกขาลาก จะไม่สามารถอั้นปัสสาวะได้

2. อาจมีพฤติกรรม ที่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น การรับรู้จะเสียไป ตาผิดปกติ สัมผัสทั้งห้าจะเปลี่ยนไป การพูดการจาจะช้าลง เป็นต้น

3. ม่านตาจะเล็กลง ตาจะไม่ตองสนองต่อแสง

 

อย่างไรก็ตาม หากใครที่ตรวจแล้ว เลือดเป็นบวก ปัจจุบันมีวิธีการรักษา ที่สามารถรักษาโรคซิฟิลิสให้หายได้ ถึงแม้ว่าจะรักษาให้หายแล้วก็จริง แต่หากทำการตรวจอีกครั้ง ผลตรวจก็จะยังตรวจพบเชื้อได้ เพราะชุดตรวจแต่ละรูปแบบ จะมีวิธีการตรวจ ที่แตกต่างกันออกไป บางชุดตรวจ อาจมีการจดจำแอนติบอดี ของร่างกาย ไม่ว่าตรวจกี่ครั้ง ก็จะตรวจเจอเชื้อซิฟิลิส

ทั้งนี้ หากผู้ที่กำลัง มีความเสี่ยงก็ให้ทำการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อเป็นการวินิจฉัย ซึ่งปัจจุบันได้มี ชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเอง ที่สามารถทำการตรวจได้ที่บ้านโดยที่ไม่ต้อง เดินทางตรวจตามสถานพยาบาล มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน โดยชุดตรวจ จะเป็นการตรวจ เพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น หากไม่แน่ใจ ก็ควรเดินทาง ไปตรวจตาม สถานพยาบาล

ชุดตรวจโรค เอชไอวีและซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยอดฮิตของคนไทย

ชุดตรวจโรค

ชุดตรวจโรค เอชไอวี และซิฟิลิส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยอดฮิตของคนไทย มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จำนวนมาก จากประวัติเข้ารับ การรักษา และผู้ป่วย อีกจำนวนมาก ที่ไม่ยอมไปตรวจ โดยติดเชื้อ อยู่แบบไม่รู้ตัว และปัจจุบัน ก็มีผู้คนจำนวนมาก ไม่สวมใส่ ถุงยางอนามัย เมื่อมีเพศสัมพันธ์ ทำให้ติดโรคเอชไอวีและ ซิฟิลิสได้ง่ายขึ้น

ชุดตรวจโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการพัฒนา ขึ้นมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน มีหลายประเภท แบ่งเป็นการตรวจคัดกรอง และการตรวจยืนยัน แตกต่างกัน คือ

ผู้ที่ เข้ารับการตรวจ จะได้ตรวจคัดกรองก่อน เพื่อดูผลว่า มีโอกาสเสี่ยง หรือไม่ เนื่องจาก การตรวจคัดกรอง สามารถทำได้รวดเร็ว ซึ่งช่วยทำให้ ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่ายถูกกว่า หากตรวจพบว่า มีโอกาสได้รับการติดเชื้อ ก็ต้องรอตรวจยืนยันผล ในขั้นตอนต่อไป

หากพบว่า ไม่มีโอกาสติดเชื้อ ก็สามารถเดินทาง กลับบ้านได้เลย (ทางการแพทย์ จะสอบถามผู้ป่วย ก่อนว่า เสี่ยงมานานแค่ไหน เพื่อเลือกวิธีตรวจ และแนะนำการตรวจ) การตรวจยืนยัน จะเป็นการส่งตัวอย่างเข้า ไปตรวจในห้องปฏิบัติการ ตรวจวิเคราะห์ ด้วยวิธีที่แม่นยำ และละเอียดขึ้น เพื่อสรุปผลว่า ผู้ป่วยติดเชื้อหรือไม่

ตัวอย่างที่ใช้ ในการตรวจมีทั้ง ตรวจจากเลือด หรือ ตรวจจากน้ำในช่องปาก แต่ที่นิยมตรวจ จะเป็นการตรวจจาก เลือดมากกว่า เนื่องจากเลือดนั้น ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย และสิ่งที่พบได้ ในเลือดก็จะเป็น ไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต

ชุดตรวจ โรคเอชไอวี ในปัจจุบัน ที่เป็นการตรวจคัดกรอง มีทั้งหมด 3 ประเภท ที่พบเห็น ได้บ่อย ในปัจจุบันนี้ คือ
1. ตรวจ NAT สามารถ ตรวจได้ตั้งแต่ 1 สัปดาห์หลังเสี่ยง
2. ตรวจหาแอนติบอดี และแอนติเจนในชุดตรวจเดียวกัน สามารถ ตรวจได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังเสี่ยง
3. ตรวจหาแอนติบอดี ต่อเชื้อเอชไอวี สามารถตรวจได้ ตั้งแต่ 3 สัปดาห์หลังเสี่ยง
ทั้งหมด มีควาแม่นยำสูง แตกต่างกันที่ ระยะเวลา ที่สามารถตรวจได้

ชุดตรวจโรคซิฟิลิส จริง ๆ แล้ว การวินิจฉัยซิฟิลิส สามารถตรวจวิเคราะห์ ได้จากแผลซิฟิลิส ในระยะที่หนึ่ง ตรวจจากเลือด และ ตรวจน้ำไขสันหลัง ส่วนใหญ่จะใช้ตรวจ ในผู้ป่วย ที่มีอาการเข้าขั้น ที่สามแล้ว การตรวจซิฟิลิส มักจะนิยมตรวจ ทางห้องปฏิบัติการ ที่เป็นชุดตรวจโรค ที่พบเห็น ในปัจจุบัน จะเป็นแบบ Rapid test โดยตรวจ จากตัวอย่าง เลือดที่ปลายนิ้ว

การตรวจโรค ในปัจจุบันสามารถ ตรวจได้ด้วยตนเอง ซึ่งจะรู้ผล ภายในไม่กี่นาที ซึ่ง มีความแม่นยำสูง แต่จะแม่นยำจริง หรือ ไม่ขึ้นอยู่กับระยะเสี่ยงจริง ๆ ที่ผู้ตรวจไปเสี่ยงมา เป็นการ ตรวจคัดกรองเท่านั้น หากผลออกมา พบว่า มีความโอกาส ได้รับการติดเชื้อ ผู้ตรวจก็ควรไปตรวจยืนยัน ที่โรงพยาบาล อีกครั้งหนึ่ง แต่ หากผลตรวจ พบว่า ไม่มีการติดเชื้อ ก็สามารถสบายใจได้

ช่องทาง ที่สามารถติดเชื้อ ได้มากที่สุด คือ การรับเลือด ผู้ป่วยเป็นโรคติดเชื้อ หรือ มีความเสี่ยงในการติดเชื้อ  ไม่สามารถ บริจาคเลือดได้ เนื่องจาก สามารถส่งต่อโรค ไปทางเลือดได้ ยกตัวอย่างโรคเอชไอวี เครื่องตรวจ ที่ดีที่สุด สามารถตรวจหา เชื้อเอชไอวี จากเลือดได้ต่ำสุด คือ 20 ตัว/CCเลือด

ดังนั้น หากมีความเสี่ยงมา หรือทานยาต้านไวรัส หรือเชื้ออยู่ ในระยะฟักตัว ปริมาณของเชื้อ อาจต่ำกว่าที่เครื่อง สามารถตรวจได้

ตรวจ NAT ที่ไหน เอชไอวี

ตรวจ NAT ที่ไหน

ตรวจ NAT ที่ไหน เอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus : HIV) เป็นโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส ที่สามารถติดต่อกันได้ จากอีกคน ไปยังอีกคน ได้ผ่านทางเลือด ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ หรือแม้แต่จากแม่ไปยังลูก

โดยเชื้อ จะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่มีหน้าที่ปกป้อง ร่างกายจากการติดเชื้อ และเมื่อเซลล์เม็ดเลือดขาว และระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ได้ถูกเชื้อเอชไอวี ทำลาย จะทำใหร่างกายอ่อนแอ และสามารถเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย จึงทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อมีอาการป่วยบ่อยกว่าผู้ป่วยทั่วไป เพราะระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ได้ถูกทำลายลง ให้มีการทำงานที่บกพร่อง

ในปัจจุบันการ ตรวจหาเชื้อเอชไอวี นั้นมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งวิธีการตรวจหาเชื้อ ถ้าจะให้เห็นผล ได้ชัดที่สุด คือ การตรวจด้วยเลือด ดังนั้น การตรวจหาเชื้อเอชไอวี จะสามารถแบ่งออกเป็น 3 วิธีหลัก ๆ คือ

– แอนติบอดี (Antibody) การตรวจ ด้วยวิธีการนี้ เป็นการตรวจหา “ภูมิคุ้นเคย” หรือเรียกอีกอย่างว่า “ภูมิคุ้มกัน” ซึ่งร่างกาย ได้สร้างขึ้นมาเพื่อทำการตอบสนอง ต่อเชื้อเอชไอวี ที่เข้าไปสู่ร่างกาย

– แอนติเจน (p24 antigen) วิธีการนี้ เป็นวิธีการตรวจหา ชิ้นส่วนของ เชื้อไวรัส ซึ่งวิธีการนี้ สามารถทำการ ตรวจพบเชื้อได้ หลังจากที่ได้รับเชื้อมาแล้ว 2 – 3 สัปดาห์

– แนท (NAT หรือ Nucleic Acid Testing) การตรวจด้วยวิธีการนี้ เป็นการตรวจหา สารพันธุกรรม ของเชื้อเอชไอวี วิธีการนี้ สามารถตรวจเจอเชื้อ ได้หลังจากที่ได้รับเชื้อมาแล้ว 1-2 สัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น

หากเรา ไปมีเพศสัมพันธ์ แบบไม่ได้มีการป้องกัน มาแล้วเมื่อ 1 สัปดาห์ที่แล้ว แล้วมีความกังวลใจ ว่าจะได้รับความเสี่ยง ในการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่ง วิธีการตรวจแบบ NAT เป็นวิธี ที่จะทำให้คุณ สามารถรู้ผลตรวจ ว่าเป็นบวก หรือ ลบ ได้แน่ชัดกว่า วิธีการอื่น

ตรวจ NAT ที่ไหน ปัจจุบัน ได้มีคลินิกนิรนาม ที่ให้คำปรึกษา ด้านโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ มีบริการตรวจหาเอเอชไอวี ด้วยวิธีการตรวจแบบ NAT ฟรี ปีละ 2 ครั้ง เพียงผู้ที่ต้องการตรวจยื่นบัตรประชาชนเพื่อรับสิทธิเพียงนี้ก็สามารถเข้ารับการตรวจได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม NAT เป็นการตรวจสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อมา หรือสำหรับผู้ที่มีความกังวลหลังจากมีความเสี่ยง โดยวิธีการตรวจด้วย NAT เป็นวิธีการตรวจ ที่รวดเร็ว ปลอดภัย และมีความแม่นยำ จึงไม่จำเป็น ที่จะต้องรอ ให้ถึงระยะเวลาถึง 1 เดือน เหมือนอย่างที่ผ่านมา

คนส่วนใหญ่ทั่วไป หากติดเชื้อเอชไอวี จะตรวจพบโดยวิธีการตรวจแบบ NAT อยู่ที่ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจาก ไปมีความเสี่ยงมา เพราะวิธีการตรวจเลือด แบบแนท ถือว่า มีความไว ในการตรวจกว่า วิธีการเดิม คือ Anti-HIV ที่จำเป็น จะต้องรอ ให้ร่างกาย ได้สร้างภูมิคุ้นเคยเพื่อต่อต้าน กับเชื้อ จึงจะสามารถตรวจพบเชื้อได้

ซึ่ง การตรวจด้วยแนท จะทำงาน ด้วยการตรวจ เพื่อหาเชื้อเอชไอวีโดยตรง ดังนั้น เราจึง ไม่จำเป็น ที่จะต้องรอ ให้ร่างกาย สร้างภูมิคุ้นเคยหลังจาก ที่ได้รับความเสี่ยงมา

ทั้งนี้แล้ว หากผู้ที่มีความกังวลใจ ว่าจะติดเชื้อหรือไม่ ปัจจุบันได้มีชุดตรวจ ที่สามารถทำการตรวจได้ด้วยตนเอง เพื่อเป็นทางออก สำหรับผู้ที่ไม่กล้าเดินทางไปตรวจตามโรงพยาบาล

ชุดตรวจHIVด้วยตนเอง จะมีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นการตรวจ เพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น หากตรวจแล้วพบว่าผลเป็นบวก คือ มีโอกาสได้รับการติดเชื้อ ก็ให้เดินทาง ไปตรวจตามโรงพยาบาล เพราะตรวจเจอตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เข้ารับ การรักษาได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม