ตรวจ Anti HIV เชื่อถือได้ไหม ? ปัจจุบันตรวจเอชไอวีวิธีไหนที่นิยมตรวจมากที่สุด

ตรวจ Anti HIV เชื่อถือได้ไหม

 

ตรวจ Anti HIV เชื่อถือได้ไหม การเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือเอดส์ (AIDS) ปัจจุบันนี้สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เพราะการตรวจหาเชื้อถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เราทราบถึงสถานะร่างกายของตนเองได้เร็วแล้ว ยังช่วยคลายความกังวลใจเราได้อีกด้วย

อย่างที่ทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า โรคเอดส์ เป็นภาวะการป่วยขั้นสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายถูกทำลายลง จนส่งผลให้ร่างกายผู้ป่วยอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

 

อย่างไรก็ตาม โรคเอดส์เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ จึงเป็นโรคที่น่ากลัว ซึ่งนอกจากการหลีกเลี่ยงจากพฤติกรรมเสี่ยง และการสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ อีกทั้งหากมีความเสี่ยงการเข้ารับการตรวจหาเชื้อ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

 

การตรวจเอชไอวี หรือ การตรวจเอดส์ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณนั้นรู้ว่าร่างกายมีการติดเชื้อหรือไม่ เพราะหากตรวจพบเชื้อเร็ว ก็จะได้เข้ารับการรักษาได้อย่างท่วงที เพื่อลดโอกาสในการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น   และลดโอกาสในการพัฒนาโรคไปสู่ระยะเอดส์ได้นั่นเอง ซึ่งปัจจุบันนี้หากใครที่มีความเสี่ยงสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื่อได้ 3 วิธีด้วยกันคือ

  • Anti-HIV Antibody วิธีนี้เป็นการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชไอวีด้วยการตรวจหาภูมิต้านทานต่อเชื้อ ผ่านเลือด

โดยแพทย์จะทำการวินิจฉัยจากการทำงานของระบบภูมิต้านทานภายในเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีการต้านทานต่อเชื้อ

ซึ่งวิธีนี้จะสามารถตรวจพบเชื้อได้ใน 3 สัปดาห์ ไปจนถึง 3 เดือนหลังการติดเชื้อ

  • NAT (Nucleic Acid Testing) วิธีการนี้จะเป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส โดยจะเป็นการตรวจปริมาณของเชื้อ

และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย และเป็นวิธีที่แพทย์มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากเป็นวิธีที่มีปรสิทธิภาพ

และมีความไว สามารถตรวจพบเชื้อได้ใน 1-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ และยังเป็นวิธีนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

  • PCR (Polymerase Chain Reaction) เป็นวิธีการตรวจหาสารพันธุกรรมเช่นกัน แต่จะใช้เทคนิคในระดับอณูชีวโมเลกุล

ซึ่งสามารถตรวจได้ในเด็กทารกที่อาจได้รับความเสี่ยงจากมารดาหลังคลอดตั้งแต่ 1 เดือน และใช้ตรวจกับผู้ใหญ่ตั้งแต่ 14 วันขึ้นไป หลังได้รับความเสี่ยงมา

 

ตรวจ Anti HIV เชื่อถือได้ไหม ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) ด้วยวิธีการตรวจแบบ Anti-HIV เป็นวิธีการตรวจหาภูมิต้านทานที่มีต่อเชื้อ และเป็นเทคนิคที่ใช้ในการตรวจหาโรคอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ที่ทำการตรวจด้วยวิธีนี้ไม่ต้องกังวลไปว่าจะไม่มีความน่าเชื่อถือ เพราะการตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยวิธี Anti HIV เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการตรวจของสถานพยาบาล ซึ่งนอกจากจะมีความแม่นยำแล้ว ในเรื่องของราคาก็ไม่แพงอีกด้วย ที่สำคัญคือ เลือกระยะเวลาเสี่ยงในการตรวจให้เหมาะสม ซึ่งวิธี Anti HIV ระยะเวลาเสี่ยงที่สามารถใช้วิธีนี้ตรวจได้ คือ เสี่ยงมาแล้วกว่า 3 สัปดาห์

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ยังมี ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน รู้ผลได้ใน 15-20 นาที เพื่อเป็นทางออกให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงแต่ไม่กล้าเดินทางไปตรวจตามโรงพยาบาลได้ทำการตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเอง เพราะหากตรวจพบเชื้อเร็วก็จะได้เข้ารับการรักษและรับยาต้านได้ทันเวลา

ตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน เสี่ยงมากี่วันถึงจะสามารถเข้ารับการตรวจ HIV ได้

ตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน

ตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน การตรวจหาเชื้อ HIV ตรวจเอดส์ เสี่ยงมากี่วันถึงจะสามารถเข้ารับการตรวจได้ ชุดตรวจ HIV

ปัจจุบันหลายคนคงทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า เชื่อไวรัสเอชไอวี (HIV) เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคเอดส์ (AIDS) ซึ่งเมื่อร่างกายของเราได้รับเอชไอวีเข้าไปแล้ว เชื้อจะกระจายไปทั่วร่างกาย และทำลายภูมิคุ้มกันจนบกพร่อง และส่งผลให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรง ร่างกายค่อย ๆ อ่อนแอลง และติดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย

 

อย่างไรก็ตาม วิธีเดียวที่เราจะทำให้รู้ว่าร่างกายของเราติดเชื้อหรือไม่นั้น จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโดยเฉพาะ เพราะปกติแล้วผู้ป่วยเอชไอวีส่วนใหญ่มักไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ

เนื่องจากว่าร่างกายไม่มีสัญญาณเตือน หรืออาการที่แสดงให้เห็นว่าติดเชื้อเอชไอวีได้แบบชัดเจน หรือเจาะจง จะทราบหรือรู้ตัวอีกทีเชื้อเอชไอวีก็ได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์แล้ว

ถึงตอนนั้นภูมิคุ้มกันร่างกายก็คงลดลงอย่างมาก ทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย และมีอาการป่วยอย่างหนักจนไม่สามารถทำการรักษาได้ และอาจเสียชีวิตลงในที่สุด

 

ดังนั้น การที่ตนเองมีความเสี่ยงและต้องการเข้ารับการตรวจหาเชื้อ แต่ไม่แน่ใจว่าต้องรอกี่วันจึงจะสามารถเข้ารับการตรวจได้ ไม่เข้าใจว่า ตรวจเอดส์ต้องรอกี่เดือน ซึ่งนี่เป็นคำถามยอดฮิตที่หลาย ๆ คน ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้

 

การตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือการตรวจเอดส์ ในปัจจุบันสามารถทำได้ 3 วิธีหลัก ๆ ด้วยกันคือ

  • Anti-HIV Antibody เป็นการตรวจหาภูมิต้านทาน ต่อเชื้อเอชไอวี จากการ ตรวจเลือด ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัย จากการทำงานของระบบภูมิต้านทาน ภายในเม็ดเลือดขาว ที่มีการต้านทาน ต่อเชื้อเอชไอวี

โดยวิธีนี้ จะสามารถตรวจพบเชื้อ ได้ในระยะเวลา 3 สัปดาห์ ไปจนถึง 3 เดือน หลังการติดเชื้อ

  • NAT (Nucleic Acid Testing) เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรม ของเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะเป็น การตรวจปริมาณ และตรวจการทำงาน ของภูมิต้านทาน ในร่างกาย และวิธีนี้ จะมีความไวในการตรวจ

แพทย์มักที่จะใช้ ในกรณีที่ผู้ป่วย มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูง เนื่องจาก เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ มากที่สุด สามารถตรวจ พบเชื้อได้ใน 1-4 สัปดาห์ หลังการติดเชื้อ ถึงแม้จะมีความไว

ในการตรวจ แต่วิธีนี้ ก็อาจมีค่าใช้จ่าย ที่ค่อนข้างสูง พอสมควร และยังไม่นิยม นำมาใช้ ในการตรวจในขณะนี้

  • PCR (Polymerase Chain Reaction) เป็นการตรวจ หาสารพันธุกรรมเช่นกัน แต่เป็นเทคนิค การตรวจในระดับ อณูชีวโมเลกุล ซึ่งเป็นวิธี ที่สามารถ ตรวจได้ ในเด็กทารก ที่มีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อ

จาก มารดาตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป และใช้ตรวจ กับผู้ใหญ่ ที่มีความเสี่ยง ต่อการ ติดเชื้อ 14 วันขึ้นไป

 

ตรวจเอดส์ ต้องรอกี่เดือน จริง ๆ แล้วในปัจจุบันนี้ การตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ สามารถทำได้ หลายรูปแบบ ซึ่ง การตรวจ แต่ละรูปแบบ ต้องใช้ระยะเวลา ในการรอ แตกต่างกัน

จึงจะ สามารถตรวจ พบเชื้อได้ ซึ่ง แต่ละบุคคล ก็สามารถ เลือก วิธีที่เหมาะสม กับตนเองได้ และจะต้องเป็น วิธีการ ตรวจที่มี ประสิทธิภาพ และมีความ แม่นยำมาก

อย่างไรก็ตาม การ ตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือ เอดส์ จะสามารถ ตรวจคัดกรองด้วยตนเอง ก่อนได้ ในปัจจุบันนี้ และสามารถ ตรวจคัดกรอง ได้ตั้งแต่  3 สัปดาห์ขึ้นไป

และหากผล เป็นลบ และยังไม่มั่นใจ แนะนำให้ ตรวจซ้ำที่ 3 เดือน หลังได้รับความเสี่ยง หรือใคร ที่มีโอกาสจะ ได้รับความเสี่ยง บ่อย ๆ ก็สามารถ ตรวจเช็คในทุก ๆ เดือน หรือ จะตรวจเช็คทุก ๆ 3 เดือน

ก็จะสามารถ ช่วยเฝ้าระวัง และตรวจพบ ได้ไวขึ้น

ตรวจเอดส์ 14 วัน ผล น่าเชื่อถือหรือยัง ?

ตรวจเอดส์ 14 วัน ผล ปัจจุบันนี้กว่าจะรู้ว่าตนเองติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ต้องอาศัยวิธีการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี คนไทยส่วนใหญ่จะคิดว่าตนเองมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง

และคิดว่าตนเองอาจไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีก็ได้ ทั้งที่จริง ๆ แล้วตนเองเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงมาก และมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี

อย่างไรก็ตาม เชื้อเอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อกันได้ส่วนใหญ่ คือ ทางเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็น ไม่สวมใส่ถุงยางอนามัย การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย เป็นต้น

 

นอกจากเชื้อเอชไอวีจะติดต่อได้ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์แล้ว ยังสามารถติดต่อผ่านทางเลือด หากร่างกายของเราได้รับเชื้อไปแล้ว เชื้อจะยังไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นเลยทันที

ด้วยกระบวนการพัฒนาของเชื้อในขั้นตอนต่าง ๆ แต่เชื้อก็จะยังคงอยู่ในร่างกายและทำการแพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ดังนั้น การรณรงค์ให้คนไทยเห็นถึงความสำคัญ

ของการติดเชื้อเอชไอวี หากคิดว่าตนเองมีความเสี่ยง ก็ควรจะหาโอกาสตรวจให้แน่ใจ

 

ตรวจเอดส์ 14 วัน ผล

 

การตรวจหาเชื้อเอชไอวี ควรที่จะประเมินก่อนว่าคุณมีความเสี่ยงมาแล้วกี่วัน เพราะการตรวจแต่ละรูปแบบนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของคุณด้วยเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันการตรวจเอชไอวี จะนิยมตรวจกัน 3 วิธีคือ

  • การตรวจแบบ Anti-HIV จะเป็นการตรวจหาภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อต้านทานต่อเชื้อเอชไอวี นับเป็นวิธีที่นิยมใช้ในการตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีในปัจจุบัน

และเป็นวิธีการตรวจที่สามารถรู้ผลได้ภายใน 1-2 ชั่วโมง แต่ผลที่ได้จะเป็นผลย้อนหลังไปประมาณ 1 เดือน ยกตัวอย่างเช่น หากเมื่อคืนไปมีความเสี่ยงมา และเข้ารับการตรวจด้วยวิธีนี้เลย

ผลตรวจอาจไม่ได้ยืนยันอย่างแน่นชัด ถึงแม้ว่าผลจะออกมาเป็นลบก็ตาม เพราะข้อจำกัดของชุดตรวจนี้ คือ การตรวจหาแอนติบอดี ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาให้ร่างกายได้สร้างขึ้นมาตอบโต้

กับเชื้อเอชไอวีก่อน ตามกระบวนการร่างกายแล้วต้องอย่างน้อย 21 วัน

  • การตรวจแบบ NAT วิธีนี้เป็นการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี เป็นวิธีที่มีความไวในการตรวจมากที่สุด และจะมีข้อแตกต่างจากการตรวจแบบ Anti-HIV ตรงที่

สามารชี้วัดผลของร่างกายย้อนหลังไปประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังเสี่ยงเท่านั้น เช่น หากคุณไปมีความเสี่ยงมาเมื่อ 7 วันก่อน จะสามารถตรวจด้วยวิธีนี้ได้

  • การตรวจแบบ Rapid HIV Test เป็นการตรวจเอชไอวีชนิดเร็ว โดยจะใช้เวลาในการรอผลเพียง 20 นาทีเท่านั้น และถึงแม้ว่าวิธีการตรวจด้วยวิธีนี้จะมีความรวดเร็วมากกว่าวิธีอื่น

แต่ก็เป็นเพียงการตรวจคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น ชุดตรวจHIV หากผลตรวจออกมาเป็นบวก ให้ตรวจซ้ำด้วยวิธีนี้อีกครั้ง หรือไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจยืนยันผลโดยเร็ว

หากผลลบ แล้วพิจารณาแล้วว่าตนเองตรวจในระยะเวลาเสี่ยงที่เหมาะสม ก็สามารถสบายใจได้เลย และหากยังไม่มั่นใจ แนะนำว่าตรวจเช็คอีกทีหลังจากเสี่ยงมาแล้ว 90 วัน

 

นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่เป็น การตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ ด้วยการตรวจหาแอนติเจนของเชื้อ ซึ่งสามารถตรวจเจอเชื้อหลังเสี่ยงมาแล้วประมาณ 10-14 วัน

ซึ่งในทุกวันนี้ไม่ใช้แล้ว แต่มีการนำมาประยุกต์และพัฒนาเป็นชุดตรวจรูปแบบใหม่ที่ตรวจได้ทั้ง แอนติเจน และแอนติบอดี ในชุดตรวจเดียว ซึ่งสามารถตรวจได้ตั้งแต่ที่ 14 วัน

ดังนั้น ตรวจเอดส์ 14 วัน ผล ที่ได้จากการตรวจหากคุณไปได้รับความเสี่ยงมาแล้วประมาณ 14 วัน ไม่ว่าผลตรวจจะออกมาเป็นบวก หรือลบ ก็สามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง

และแนะนำให้ตรวจอีกครั้งที่ระยะเวลาเสี่ยงนานขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม หากใครที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และต้องการความเป็นส่วนตัวในการตรวจ ก็แนะนำ ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ซึ่งเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่มีความเสี่ยง

แต่ไม่กล้าเดินทางไปตรวจตามสถานพยาบาล และตอบโจทย์ในความเป็นส่วนตัวมากที่สุด ซึ่งชุดตรวจชนิดนี้จะมีความปลอดภัย แม่นยำและได้มาตรฐาน สามารถรู้ผลได้ใน 15-20 นาทีเท่านั้น

เสี่ยงมาแล้ว ไม่ควรนิ่งนอนใจ ตรวจให้แน่ใจดีกว่า เพราะหากตรวจเจอเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็มีโอกาสในการป้องกันเชื้อเอชไอวีไม่ให้ลุกลามไปสู่ระยะเอดส์ได้

 

ชุดตรวจซิฟิลิส pantip ตรวจที่กี่วันดี แล้วตรวจแบบนี้เชื่อถือได้หรือไม่

สำหรับคำถามเกี่ยวกับ ชุดตรวจซิฟิลิส pantip ได้มีการตั้งคำถามและเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับประสบการณ์คิดเชื้อ และประสบการณ์ตรวจ โดยได้แนะนำไว้ว่า หากเสี่ยงมาจริง ๆ ก็ควรจะตรวจ ซึ่งสามารถตรวจได้เมื่อมีความเสี่ยงมาแล้วกว่า 1 เดือน หากผลเป็นลบ ก็เชื่อถือได้แล้ว ดังต่อไปนี้ แต่ถ้ายังไม่มั่นใจก็สามารถตรวจย้ำที่ระยะเวลาเสี่ยงนานขึ้นได้ หากผลทั้งสองครั้งเป็น ลบ เหมือนกัน ก็มั่นใจได้เลย

แต่หากจะยืนยันผลแบบฉบับดั้งเดิม คือ ให้ตรวจที่ระยะเวลาเสี่ยงมาแล้ว 3  เดือน

 

ชุดตรวจซิฟิลิส pantip โรคซิฟิลิส (Syphilis) เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้ไม่บ่อยมากนัก และเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ซึ่งเกิดขึ้นจากเชื้อแบคทีเรีย ทรีโพนีมา พัลลิดัม (Treponema Pallidum) นับว่าเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีความน่ากลัวมากพอสมควร

เพราะเชื้อจะไม่แสดงอาการออกมาให้เห็นได้ชัด แต่เชื้อจะยังคงอยู่ภายในร่างกายและพัฒนาแพร่ไปยังอวัยวะต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรักษาและเมื่อรักษาให้หายได้แล้ว ยังมีโอกาสในการกลับมาเป็นใหม่ได้อีก และหากรักษาช้า อวัยวะที่ถูกทำลายก็ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิม

 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยมากนัก แต่ก็ถือเป็นโรคที่ร้ายแรงไม่แพ้โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โรคอื่น โดยในระยะแรกเชื้ออาจจะยังไม่มีอาการใด ๆ แต่หากปล่อยไว้นานและไม่ทำการรักษา เชื้ออาจลุกลามจนส่งผลทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับสมอง ระบบประสาท หรือแม้แต่โรคหัวใจหลอดเลือด

 

การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสจะใช้วิธีการเจาะเลือด ซึ่งปัจจุบันจะสามารถทำได้ด้วยกัน 2 วิธี คือ

  • การตรวจแบบชนิดไม่เฉพาะ ได้แก่ การตรวจแบบ VDRL และการตรวจแบบ RPR ซึ่งเป็นวิธีการตรวจที่ง่าย ๆ มาก แถมยังมีราคาถูก รู้ผลได้อย่างรวดเร็ว แต่วิธีการตรวจข้างต้นนี้ก็อาจให้ผลบวกที่ปลอมได้

เนื่องจากสิ่งที่เราตรวจในเลือดนั้น จะเป็นแอนติบอดีต่อสารโปรตีนหลายชนิดนั่นเอง

  • การตรวจแบบชนิดเฉพาะ ได้แก่ การตรวจแบบ FTA-ABS และการตรวจแบบ TPHA ทั้งสองวิธีนี้จะมีความแม่นยำสูงมากเฉพาะสำหรับโรคซิฟิลิส แต่วิธีการตรวจดังกล่าวจะมีความยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายสูง

และต้องอาศัยความชำนาญมากกว่ากลุ่มแรก แต่ก็มีข้อดีที่สามารถยืนยันการวินิจฉัยโรคซิฟิลิสได้ ในกรณีที่เชื้อยังไม่แสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้ ทั้งสองวิธีข้างต้นก็อาจมีประโยชน์ที่แต่ต่างกันออกไป

คือ การตรวจแบบ FTA-ABS จะมีความแม่นยำสูงสุดต้องอาศัยความชำนาญมากกว่า การตรวจแบบ TPHA

 

คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้นอกจากจะมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อซิฟิลิสได้อีกด้วย ฉะนั้น ทางเดียวที่จะรู้ว่าร่างกายของเรามีความเสี่ยง หรือติดเชื้อหรือไม่ นั้นคือ การเข้ารับการตรวจหาเชื้อหากมีความเสี่ยง ซึ่งในปัจจุบันนี้การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสนอกจากวิธีการตรวจข้างต้นแล้ว ยังมี ชุดตรวจซิฟิลิส ที่สามารใช้ตรวจคัดกรองได้ง่าย ๆ ที่สามารถทำการตรวจได้เองที่บ้าน มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน รู้ผลได้ใน 10-15 นาทีเท่านั้น

 

การมี ชุดตรวจซิฟิลิส ด้วยตนเองนับเป็นเรื่องที่ดี เพื่อให้ผู้ที่มีความเสี่ยงได้ทำการตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเอง แถมยังประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และได้ความเป็นส่วนตัวอีกด้วย ถึงแม้ว่าในปัจจุบันทางการแพทย์จะพัฒนาไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่เชื้อซิฟิลิสก็ยังกลับมาระบาดอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

ดังนั้น การดูแลตนเองจึงเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นการสวมใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ รวมไปถึงการเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อป้องกันตนเอง ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการใด ๆ ก็ตาม อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าโรคซิฟิลิสจะดูรุนแรงจนทำให้ทุกคนกลัว ยังดีที่โรคนี้ยังสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็อย่าพึ่งชะล่าใจไป ถึงแม้จะรักษาให้หายได้ แต่ก็ยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งได้

 

ชุดตรวจซิฟิลิส pantip

 

 

เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง pantip กับคำแนะนำที่เกี่ยวกับเรื่องนี้

เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง pantip

เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง pantip โดยทั่วไปแล้ว ชุดตรวจเอชไอวี หรือเอดส์ด้วยตนเอง จะมีความแม่นยำมากพอสมควร เพราะชุดตรวจเอดส์ด้วยตนเองจะเป็นการตรวจหาแอนติบอดี หรือการตรวจหาภูมิต้านทานที่ร่างกายของเราได้สร้างขึ้นมา เพื่อต้านทานต่อเชื้อเอชไอวี แต่ไม่ได้เป็นการตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยตรง เนื่องจากภูมิต้านทานร่างกายจะยังไม่ปรากฏในทันทีหลังการติดเชื้อ แต่จำเป็นที่จะต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาก่อนระยะหนึ่ง จึงจะสามารถตรวจหาเชื้อได้ เพราะปกติแล้ว หากร่างกายของเราได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าไปแล้ว หลังการติดเชื้อจะไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้ในทันที จำเป็นที่จะต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิขึ้นมาก่อน ให้มีปริมาณในระดับหนึ่ง จึงสามารถตรวจได้

 

อย่างไรก็ตาม การใช้ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง แต่ก่อนยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในไทย แต่เนื่องด้วยปัจจุบันมีผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ทาง อย. ได้เห็นถึงความสำคัญของการติดเชื้อเอชไอวี จึงได้ทำการประกาศให้ใช้ชุดตรวจได้ และวางจำหน่ายผ่านทางร้านขายยา ให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย และได้ทำการตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเอง เพื่อคลายความกังวลใจ และเพื่อความเป็นส่วนตัวในการตรวจด้วย

 

            นอกจากนี้ เครื่อง ตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง pantip ชุดตรวจหา เชื้อเอชไอวี จะมี ความ ถูกต้อง แม่นยำ ปลอดภัย และเป็น ที่ยอมรับ จะต้อง เข้ารับ การตรวจ เลือด ที่โรงพยาบาล เพียง อย่างเดียว และด้วย สาเหตุนี้ ทำให้ ผู้ที่ต้อง ตรวจอาจ รู้สึก ไม่เป็น ส่วนตัว

 

ดังนั้น การที่มีเครื่องตัวเอดส์ได้เองที่บ้าน นอกจากจะช่วยให้ผู้ที่ต้องตรวจเกิดความสบายใจ รู้สึกเป็นส่วนตัวมากขึ้น ยังช่วยลดการระบาด และลดการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีไปสู่ผู้อื่นได้อีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการมี ชุดตรวจเอชไอวี หรือเอดส์ด้วยตนเอง ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนส่วนใหญ่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ มักที่จะไม่กล้าเดินทางไปตรวจหาเชื้อตามสถานพยาบาล เนื่องจากอาจเกรงกลัวต่อสายตาผู้คนมากมาย

 

ดังนั้น การมีชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ถือเป็นทางออกที่ดีที่อาจช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยงได้ทำการตรวจคัดกรองหาเชื้อด้วยตนเองที่บ้าน เพื่อให้การตรวจเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพชุดตรวจที่จะนำมาตรวจควรจะมีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐานมากพอสมควร

 

ทั้งนี้ หากผู้ที่ไปมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมา การเข้ารับการตรวจนอกจากจะช่วยคลายความกังวลใจได้ หากตรวจพบเชื้อตั้งแต่ระยะแรก ก็จะได้เข้ารับการรักษาได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม เพื่อลดโอกาสในการแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่ผู้อื่น และป้องกันเชื้อเอชไอวีไม่ให้พัฒนาไปสู่ระยะเอดส์ได้

 

เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง pantip จากการสำรวจความคิดเห็นของเพื่อน ๆ ในพันทิป ๆ หลาย ๆ คนก็แนะนำให้ซื้อกับร้านที่ไว้ใจได้ สอบถามข้อสงสัยต่าง ๆ ให้เข้าใจ ดูวันหมดอายุ  ดูระยะเวลาเสี่ยงของตนเอง และความแม่นยำ ทางที่ดี คือ เลือกที่มีเลขอย.ไทย จะดีที่สุด

 

สุดท้ายนี้ หากตรวจคัดกรองด้วยตนเองแล้ว พบว่าผลเป็นลบ ก็ควรตรวจเช็คอีกครั้งที่ระยะเวลาเสี่ยงนานขึ้น และหากผลเป็นบวก จะตรวจเช็คอีกครั้งทันที หรือไปตรวจยืนยันที่โรงพยาบาล

ผู้มีเชื้อ HIV ฉีดวัคซีน COVID-19 ได้หรือไม่ ?

ผู้มีเชื้อ HIV ฉีดวัคซีน COVID-19 ได้หรือไม่

 

ผู้มีเชื้อ HIV ฉีดวัคซีน COVID-19 ได้หรือไม่? ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่ติด เชื้อเอชไอวี (HIV) จะต้องได้รับยาต้านไวรัสตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อพัฒนาไปสู่ระยะที่ร้ายแรงไปมากกว่านี้

หรือเพื่อ ไม่ให้ร่างกายมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ส่วนน้อยที่จะมีค่า CD4 ที่ต่ำ และอาจมีระดับภูมิคุ้มกันที่ลดลงต่ำ

จนบางครั้งอาจทำให้พวกเขาเหล่านั้น คิดว่าตนเองอาจมีความเสี่ยง ต่อการที่จะเป็นโรคติดเชื้อ ในระบบทางเดินหายใจได้

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ยังมีผู้คนไม่น้อย ที่มีความสงสัยเกี่ยวกับโรคเอชไอวี และโรคโควิด 19 ว่า หากผู้ที่มีเชื้อ HIV อยู่แล้วจะสามารถเข้ารับ การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อ COVID-19 ได้หรือไม่

เพราะหลายคน อาจมีความ กังวลว่า การที่ผู้ป่วย ติดเชื้อเอชไอวี เป็นผู้ที่มีระบบ ภูมิคุ้มกัน ที่ต่ำ และมีร่างกาย ที่อ่อนแออยู่แล้ว หากเข้ารับ การฉีดวัคซีน จะส่งผลเสีย และเป็นอันตราย ต่อร่างกายเรา หรือไม่

ซึ่งวันนี้เราจะมาคลายความสงสัยต่าง ๆ เหล่านี้สำหรับผู้ที่มีความกังวล

 

ผู้ป่วย ติดเชื้อเอชไอวี สามารถ เข้ารับ การฉีดวัคซีน COVID-19 ได้ เว้นเสียแต่ว่า มีอาการ หรือมี ระดับของ CD4 ต่ำกว่า 200 cells ต่อ ลูกบาศก์มิลลิลิตร

ควรที่จะเข้ารับ การรักษา ให้อาการดีขึ้นก่อน แล้วค่อย เข้ารับการฉีด

 

แต่ หากถาม ว่า ผู้มีเชื้อ HIV ฉีดวัคซีน COVID-19 ได้หรือไม่ ก็สามารถ เข้ารับการฉีด ได้เหมือน คนปกติ ทั่วไป เพราะเนื่องจาก วัคซีน ที่ป้องกัน เชื้อโควิด 19 จะเป็นวัคซีน เชื้อตาย

ซึ่งผู้ที่ ยังรับยาต้าน หรือยากดภูมิคุ้มกัน อยู่ก็น่าจะ เข้ารับการฉีดได้ แต่ทั้งนี้ ก็ควรเข้ารับ การปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มั่นใจ ได้ว่า จะมีความปลอดภัย กับร่างกาย เราจริง ๆ

 

นอกจากนี้ ทางสมาคม เอดส์โลก ได้ระบุ ว่า ผู้ป่วย ติดเชื้อเอชไอวี สามารถ ฉีดวัคซีน โควิดได้ เพราะเนื่องจาก เป็นกลุ่มที่ มีความเสี่ยง ดังนั้น การตอบสนอง ต่อวัคซีน ก็อาจมี ความแตกต่างกัน ออกไป

ซึ่งก็ขึ้น อยู่กับ ระดับของ CD4 และสุขภาพ ร่างกาย ด้วยเช่นกัน แต่หากผู้ป่วย เอชไอวี ที่มีโรค แทรกซ้อน หรือ โรคฉวย โอกาสอยู่ และอาการ ค่อนข้างรุนแรง ก็ควร เข้ารับ การรักษา ให้อาการ คงที่ หรือ หายเสียก่อน

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี หากต้องการเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด แต่กลัวว่าอาจเป็นอันตราย ต่อร่างกาย เนื่องจากตนเองมีเชื้อเอชไอวี และยังรับยาต้านอยู่

ควรเข้ารับ การปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือรอให้ ภูมิคุ้มกัน ร่างกาย แข็งแรง หรือ มีระดับ CD4 ที่มากกว่า 200 cells ต่อ ลูกบาศก์มิลลิลิตร ค่อยเข้ารับ การฉีด ก็ได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การเตรียมตัวเข้ารับการฉีดวัคซีน ไม่ได้มีความน่ากลัวอะไร ถึงแม้จะเป็นการฉีดวัคซีนโควิดก็ตาม ซึ่งก็เหมือนกับการไปฉีดวัคซีนป้องกันโรค ไข้หวัดในทุก ๆ ปี

 

ดังนั้น ควรทำตัวให้ผ่อนคลาย ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น แต่ก็เชื่อว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ว่าใครก็คงกลัวกันทั้งนั้น เพราะหลายคนอาจเดินเข้าไป พร้อมกับความกลัวก็ได้ วัดความดันก็สูง หลังฉีดวัคซีนก็เป็นลม อาการเหล่านี้เป็นอาการที่พบได้บ่อย เช่นเดียวกับการไปเจาะเลือด ฉะนั้น ชีวิตเราต้องเดินหน้าต่อไป ให้คิดว่าการฉีดวัคซีน เป็นเพียงการฉีดยาทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีความร้ายแรง และน่ากลัวแต่อย่างไร

 

 

 

ผลตรวจ ซิฟิลิส IgM อ่านผลเป็น Non Reactive หมายความว่าอย่างไร

ผลตรวจ ซิฟิลิส

 

ผลตรวจ ซิฟิลิส เป็นอย่างไร ผลตรวจแบบนี้ ๆ คืออะไร IgM อ่านผลเป็น Non Reactive หมายความว่าอย่างไร ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากแบคทีเรียชื่อว่า ทรีโพนีมา พัลลิดุม (Treponema Pallidum) โดยสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ และทางบาดแผล

 

ปัจจุบันมีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดเชื้อซิฟิลิส โดยพบว่ากลุ่มที่มีความเสี่ยงมากที่สุดคือกลุ่มคู่รักวัยรุ่น หรือคู่รักชายรักชาย อายุประมาณ  18-25 ปี นอกจากนี้แล้วยังพบว่าผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเอดส์ โรคหนองในอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสนั้นสามารถทำได้หลายวิธี แบ่งออกเป็นสองแบบ คือ

 

– การตรวจแบบชนิดไม่เฉพาะ ซึ่งเป็นการตรวจที่ทำได้ง่าย รู้ผลตรงจได้เร็ว และมีราคาที่ถูก วิธีนี้นิยมใช้ในการตรวจครั้งแรก หรือตรวจคัดกรอง ซึ่งการตรวจในกลุ่มนี้คือ การตรวจแบบ VDRL

และ การตรวจแบบ RPR โดยการตรวจทั้งสองวิธีนี้จะมีความแตกต่างกัน การตรวจแบบ VDRL จะใช้เวลาในการรู้ผลประมาณ 2-3 ชั่วโมง และการตรวจแบบ RPR จะสามารถรู้ผลตรวจได้ใน 10 นาที

 

– การตรวจแบบชนิดเฉพาะ เป็นการตรวจที่มีความแม่นยำสูงเฉพาะโรคซิฟิลิส แต่วิธีการตรวจค่อนข้างที่จะมีความยุ่งยาก เพราะต้องอาศัยความชำนาญมากกว่าการตรวจชนิดอื่น

แต่วิธีการนี้จะสามารถยืนยันการติดเชื้อซิฟิลิสได้ หากในกรณีที่อาการของโรคแสดงให้เห็นได้ไม่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม การตรวจแบบเฉพาะสามารถทำได้ 2 วิธีหลัก ๆ คือ การตรวจแบบ FTA-ABS เป็นวิธีการตรวจ

ที่มีความไวและแม่นยำสูง แต่ต้องอาศัยความชำนาญมาพอสมควร อีกวิธีการตรวจหนึ่งคือ การตรวจแบบ TPHA วิธีนี้สามารถทำได้ง่ายกว่าวิธีแรก ซึ่งแน่นอนว่าความไวและความแม่นยำจะต้องลดลงไปด้วย

 

นอกจากนี้ ระยะของโรคซิฟิลิสจะมีตั้งแต่ระยะที่มีอาการ ระยะแฝง และระยะไม่แสดงอาการ หาก ผลตรวจ ซิฟิลิส IgM อ่านผลเป็น Reactive แสดงว่าเพิ่งได้รับเชื้อมาใหม่ แต่หากเป็น Non Reactive ก็แสดงว่าไม่ได้รับเชื้อมาใหม่ และหากผลการตรวจ IgG อ่านผลเป็น Reactive แสดงว่าได้รับเชื้อมานานแล้ว

 

ดังนั้น การติดเชื้อซิฟิลิส ถึงแม้ว่าจะรักษาหายแล้วก็ตาม แต่ร่างกายมีการจดจำและเก็บแอนติบอดีต่อเชื้อไว้ นอกจกานี้หากรักษาหายขาดแล้วก็มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้งได้

 

อย่างไรก็ตาม โรคซิฟิลิสนั้นสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ และพบว่าการติดเชื้อยังไม่ถึง 1 ปี ฉะนั้น หากใครที่กำลังมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อซิฟิลิส ก็ควรเข้ารับการตรวจโดยเร็ว เพราะหากตรวจพบเชื้อตั้งแต่ระยะแรกก็มีโอกาสในการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลารักษาน้อยลง และหายเป็นปกติได้ง่ายขึ้น

 

หากติดเชื้อซิฟิลิสแล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่รักษาให้หาย อาจชักนำสู่การเป็นโรคอื่น ๆ เพราะการติดเชื้อซิฟิลิสนั้นสามารถเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อเอชไอวีได้

 

ดังนั้น หากใครที่ไม่สะดวกเดินทางไปตรวจตามโรงพยาบาล เพราะเกรงว่าราคาจะแพง และยังไม่อยากเปิดเผยตัวตนต่อสังคม การมีชุดตรวจซิฟิลิส ที่สามารถใช้ตรวจคัดกรองด้วยตนเอง จะเป็นช่องอีกช่องหนึ่งที่สามารถให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย ได้ทำการตรวจคัดกรองด้วยตนเอง ทั้งยังมีความเป็นส่วนตัวในการตรวจคัดกรองเบื้องต้น มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน รู้ผลได้ใน 10-15 นาที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้ชุดตรวจซิฟิลิสด้วยตนเองเป็นเพียงการตรวจคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น หากผลตรวจที่ได้เป็นบวก หรือลบ ก็ควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้ง ที่ระยะเวลาเสี่ยงนานขึ้น เพื่อเช็คผลว่าเหมือนกันหรือไม่

 

ตรวจเอดส์ คลินิกนิรนาม มั่นใจ กี่ เดือน

ตรวจเอดส์ คลินิกนิรนาม มั่นใจ กี่ เดือน

 

ตรวจเอดส์ คลินิกนิรนาม มั่นใจ กี่ เดือน การตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือเอดส์ (AIDS) แต่ละรูปแบบ ในปัจจุบันนั้น ค่อนข้าง มีความแตกต่างกัน ออกไป เพราะเมื่อ ร่างกายของเรา ได้รับเชื้อเอชไอวี เข้าไปแล้ว ซึ่งทุกคนก็คงรู้กัน เป็นอย่างดีอยู่แล้วว่า

เชื้อเอชไอวีเ ป็นเชื้อที่ทำให้ ระบภูมิคุ้มกัน ในร่างกาย ของเราอ่อนแอ หรือทำงาน บกพร่องลง เพราะปกติแล้ว ระบบภูมิคุ้มกัน ในร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกัน ขึ้นมา เพื่อทำการต่อสู้ กับเชื้อไวรัสต่าง ๆ

 

นอกจากนี้  การตรวจเลือด เพื่อหาเชื้อเอชไอวี จะขึ้นอยู่กับ วิธีตรวจ ที่เลือกใช้ว่าสามารตรวจ HIV ที่ระยะความเสี่ยง เท่าไหร่ได้บ้าง เพราะหากตรวจที่ ระยะเวลาเสี่ยง ไม่เหมาะสม กับชุดตรวจ หรือวิธีตรวจ ก็จะไม่สามารถตรวจพบเชื้อได้ ดังนั้น การเข้ารับ การตรวจหาเชื้อ ในช่วงระยะ ที่ไม่เหมาะสม กับชุดตรวจ หรือวิธีตรวจ ผลที่ได้อาจเป็นลบปลอม ทั้งที่จริง ๆ แล้ว คุณอาจติดเชื้อแล้ว ก็ได้

อย่างไรก็ตาม หากถามว่า ตรวจเอดส์ คลินิกนิรนาม มั่นใจ กี่ เดือน วิธีการตรวจหาเชื้อนั้นย่อมเป็นปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และมีความแตกต่างกันออกไป

 

การตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ในปัจจุบัน ของคลินิกนิรนาม มีอยู่ 2 รูปแบบ (ตามที่ระบุอยู่หน้าเว็บไซต์สภากาชาดไทย) อีกทั้งก็ขึ้นอยู่กับ ผู้ป่วยติดเชื้อ ว่าได้รับเชื้อมาแล้ว กี่วัน และการตรวจ ด้วยวิธีไหน จึงจะเหมาะสม

– Anti-HIV การตรวจหา แอนติบอดีที่ จำเพาะต่อเชื้อ วิธีนี้ เป็นวิธีที่ได้รับ ความนิยม ในการตรวจ คัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี โดยสามารถ ตรวจพบเชื้อ ได้หลังการติดเชื้อ ประมาณ 3-4 สัปดาห์

– HIV DNA-PCR การตรวจหา สารพันธุกรรม ของเชื้อเอชไอวี ที่อยู่ในเม็ดเลือด เป็นวิธีที่ มีความไวสูง และมีความแม่นยำ แม้มี เชื้อเพียงเล็กน้อย นิยมใช้ตรวจ หลังจาก ที่ตรวจด้วย Anti-HIV แล้วผลเป็นบวก เพราะสามารถ ตรวจพบเชื้อ ได้ตั้งแต่ 10 -14 วันหลังการติดเชื้อ แต่วิธีนี้ มักจะใช้ ในการยืนยันผล ของผู้ป่วย ที่มีความเสี่ยง โดยมีราคาที่ ค่อนข้างสูง

 

นอกจากนี้ ตรวจเอดส์ คลินิกนิรนาม มั่นใจที่กี่เดือน หากท่านเลือกการ ตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ เป็นวิธี Anti-HIV จำเป็นที่จะต้องรอ ให้ร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกัน ขึ้นมาก่อน ในสักระยะหนึ่ง จึงจะสามารถ ตรวจพบเชื้อ และมั่นใจได้ว่า ร่างกายติดเชื้อ หรือไม่ โดยแนะนำมั่นใจได้ที่หลัง 1 เดือน และหาก ตรวจด้วยวิธี HIV DNA-PCR จะสามารถมั่นใจ ได้ที่ระยะเวลาเสี่ยง 1 เดือนเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม หากใคร ที่กำลังมี ความเสี่ยงทางเดียว ที่จะรู้ว่า ติดเชื้อหรือไม่ ก็คือ การเข้ารับการ ตรวจเลือดหาเชื้อ

ซึ่งปัจจุบัน ก็ได้มี ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง วางจำหน่าย เพื่อเป็นทางออก ให้กับผู้ ที่มีความเสี่ยง ได้ทำการ ตรวจคัดกรองด้วยตนเอง และเพื่อ ความเป็นส่วนตัว ในการตรวจคัดกรอง ด้วยตนเอง

โดยชุดตรวจ จะต้องมี ความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน รู้ผลได้ใน 15-20 นาที การตรวจคัดกรอง ด้วยตนเอง นอกจากจะช่วยให้เรารู้ ทราบถึงสถานะ ร่างกาย ของตนเองแล้ว ยังสามารถช่วย ให้เราได้ เข้ารับการรักษา ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม

เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง ซื้อที่ไหน ?

เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง ซื้อที่ไหน

 

เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง ซื้อที่ไหน ปัจจุบัน การตรวจคัดกรอง หาเชื้อเอชไอวี เป็นสิ่งที่ เราไม่ควรมองข้าม เพราะการติดเชื้อเอชไอวี สามารถส่งผลเสีย ต่อร่างกาย ของเราได้เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อ ร่างกายของเรา ได้รับเชื้อ เข้าไปแล้ว เชื้อจะเข้าไปทำลาย เซลล์เม็ดเลือดขาว (CD4) และระบบ ภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย ให้บกพร่อง จนส่งผลให้ร่างกาย ของผู้ป่วยอ่อนแอลง เรื่อย ๆ และไม่สามารถ ทำการต่อต้านเชื้อ โรคต่าง ๆ ที่เข้าไปสู่ร่างกายได้ จึงอาจก่อ ให้เกิดโรคเอดส์ ขึ้นในที่สุด

 

อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อเอชไอวี ก็ไม่อาจพัฒนา ไปสู่ระยะเอดส์ได้ หากเข้ารับ การรักษาเร็ว ขึ้นอยู่กับอายุ และสุขภาพร่างกาย ของผู้ป่วย ด้วยเช่นกัน ดังนั้น การเข้ารับการตรวจ หาเชื้อเอชไอวี ตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือหากรู้ว่าตนเอง มีความเสี่ยง ก็ให้เข้ารับ การตรวจโดยเร็ว  เพื่อความสบายใจ และเพื่อลด ความกังวลใจ แก่ตนเองด้วย

 

ทั้งนี้ เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง ซื้อที่ไหน การตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ สามารถทำได้หลายวิธี บางคนอาจสะดวกเดินทางไป ตรวจตามสถาน พยาบาลรัฐ เพราะสามารถ ทำการตรวจได้ ฟรีปีละ 2 ครั้ง แต่หากใคร ที่ต้องการ ความเป็นส่วนตัว ก็สามารถหาซื้อได้ ตามร้านขายยา หรือเว็บไซต์ ที่น่าเชื่อถือ

 

ปัจจุบันการตรวจหาเชื้อเอชไอวี หรือเอดส์ สามารถ ทำได้ 3 วิธีหลัก ๆ ด้วยกันคือ

  • Anti-HIV antibody วิธีการตรวจนี้ จะเป็นการตรวจหาภูมิต้านทาน ต่อเชื้อเอชไอวี จากเลือด โดยจะทำการวินิจฉัย การทำงานของระบบ ภูมิต้านทาน ภายในเซลล์ เม็ดเลือดขาว ที่มีการต้านทาน ต่อเชื้อเอชไอวี วิธีการตรวจนี้ จะสามารถตรวจพบเชื้อ ได้ในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ขึ้นไป หลังการติดเชื้อ

 

  • NAT (Nucleic Acid Testing) การตรวจด้วยวิธีนี้ จะเป็นการตรวจหา สารพันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี โดยจะทำการ ตรวจปริมาณ และการทำงาน ของระบบภูมิคุ้มกัน ภายในร่างกาย วิธีการตรวจจะมีประสิทธิภาพ

และรวดเร็วในการตรวจ แพทย์จึงมักใช้ตรวจ กับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เพราะสามารถตรวจพบ เชื้อได้ภายใน 1-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ แต่วิธีนี้อาจมีค่าใช้จ่าย ที่สูงมากพอสมควร และยังไม่ได้นำมาใช้ ในการตรวจเอชไอวีในกรณีทั่วไป ๆ

 

  • PCR (Polymerase Chain Reaction) เป็นการตรวจหาสาร พันธุกรรมในระดับอณูชีวโมเลกุล สามารถตรวจ ได้ในเด็กทารก ที่อาจมีความเสี่ยงต่อ การได้รับเชื้อ จากแม่หลังคลอดตั้งแต่อายุ 1 เดือน และใช้ตรวจกับผู้ใหญ่ หลังได้รับความเสี่ยงมาแล้ว 14 วันขึ้นไป

 

นอกจากนี้ เครื่องตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง หาซื้อได้ที่ไหน ปัจจุบันทาง อย. ได้ทำการปลดล็อค ให้จำหน่าย ชุดตรวจ HIV ด้วยตนเอง ผ่านทางร้านขายยา เพื่อให้ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงได้ง่าย และเปิดโอกาส ให้กับผู้ที่มีความเสี่ยงได้ ทำการตรวจคัดกรองด้วยตนเอง

 

อย่างไรก็ตาม การหาซื้อชุดตรวจเอชไอวีสามารถทำได้จริง แต่ก็ไม่ง่ายมากนัก เพราะเนื่องจากไม่มีการระบุรายชื่อร้านขายยาที่มีการนำชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองมาจำหน่าย อีกทั้งยังมีขายเพียงร้านขายยาขนาดใหญ่เท่านั้น

 

ดังนั้น เพื่อความเป็นส่วนตัว ในการตรวจเราจึงอยากแนะนำ ชุดตรวจ HIV ด้วยตนเองของเรา ที่มีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน สามารถทำการตรวจ ได้เองที่บ้านง่าย ๆ รู้ผลตรวจได้ใน 15-20 นาที

ท่านใดสนใจ สามารถติดต่อ ได้เลยจัดส่งไว รักษาข้อมูลลูกค้า สามารถ ทำการตรวจคัดกรอง ด้วยตนเองได้โดยเร็วที่สุด เพราะหากตรวจพบเชื้อ ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็มีโอกาส ในการเข้ารับการรักษา และรับยาต้าน ได้ทันเวลา

 

 

 

อาการเอดส์1เดือน จะเป็นอย่างไรบ้าง?

อาการเอดส์1เดือน ปัจจุบันสถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ในไทยนั้น ถึงแม้จะดีขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังเป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่ยังต้องให้ความสำคัญ ซึ่งสมัยนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ทราบว่าตนเองติดเชื้อ อีกทั้งยังมีผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถเสียชีวิตลงด้วยโรคเอดส์ได้ง่าย ๆ

 

เชื่อว่าปัจจุบันนี้ หลายคนคงเข้าใจผิดคิดว่าโรคเอดส์ กับโรคเอชไอวีนั้น เป็นโรคเดียวกัน แต่รู้หรือไม่ว่าการที่เราติดเชื้อเอชไอวี ก็ไม่ได้แปลว่า เราจะเป็นโรคเอดส์เสมอไป เพราะโรคเอดส์ (AIDS) เป็นขั้นสุดท้าย ของการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ซึ่งเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้เข้าไปทำลาย เซลล์เม็ดเลือดขาว และระบบภูมิคุ้มกัน ในร่างกายให้เกิดการบกพร่อง

จึงส่งผลให้ผู้ป่วยติดเชื้อ มีสภาพร่างกายที่อ่อนแอ และสามารถเกิด โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ง่าย และปัจจุบัน ก็ยังไม่มีวิธีการไหน ที่จะสามารถรักษาโรคเอชไอวี และโรคเอดส์ให้หายขาดได้ มีเพียงยา ที่ช่วยในการชะลอ การพัฒนาโรคและลดอัตราเสี่ยง ต่อการเสียชีวิตลง ด้วยโรคเอดส์เท่านั้น

 

อาการเอดส์1เดือน

เราจะสามารถสังเกตกันได้ง่าย ๆ และจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะด้วยกัน คือ

  • ระยะเริ่มแรก หรือระยะเฉียบพลัน ในระยะนี้เชื้อ จะยังไม่แสดงอาการ ออกมาให้เห็น ได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นระยะที่เชื้อ จะสามารถแพร่กระจายไปทั่ว ร่างกายมากกว่าระยะอื่น ๆ

ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับ เป็นไข้หวัดใหญ่ มีไข้ ปวดหัว เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ต่อน้ำเหลืองโต และมีอาจมีผื่นขึ้น ซึ่ง อาการเอดส์1เดือน จะเริ่มปรากฏภายใน 1-2 เดือนหลังได้รับเชื้อ และจะเป็นเช่นนี้ ไปประมาณ 2-3 สัปดาห์

 

  • ระยะอาการสงบ ในระยะนี้ จะไม่แสดงอาการชัดเจน หรือแทบไม่มี อาการป่วยใด ๆ เลย แต่เชื้อ ก็จะยังคงอยู่ ภายในร่างกาย และยังคงทำลาย ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายอย่างต่อเนื่อง ในระยะนี้

หากผู้ที่ยัง ไม่เข้ารับการตรวจ และยัง ไม่เข้ารับการรักษา เชื้ออาจมีการพัฒนา ไปเรื่อย ๆ จนอาจป่วย ขั้นรุนแรงมากขึ้น เช่น น้ำหนักลดลง อย่างรวดเร็ว มีเชื้อราในช่องปาก ท้องร่วงเรื้อรัง หรือเป็นงูสวัด หากผู้ป่วย ไม่เข้ารับ การรักษาเชื้ออาจพัฒนา ไปสู่ระยะโรคเอดส์ได้

 

  • ระยะสุดท้าย ระยะเอดส์ ในระยะนี้ จะเป็นระยะสุดท้าย ของการติดเชื้อเอชไอวี หรือที่รู้จักกันว่า โรคเอดส์ นั่นเอง ซึ่งระบบภูมิคุ้มกัน ในร่างกาย  ได้ถูกทำลายลง อย่างหนัก จนไม่สามารถต้านทาน ต่อเชื้อโรคต่าง ๆ ได้

จึงส่งผลให้ ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อ และ โรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา จนทำให้ เสียชีวิตลง ในที่สุด

 

“ทั้งนี้อาการต่าง ๆ ที่กล่าวมาก็อาจจะเป็นอาการเบื้องต้นของโรคอื่น ๆ ได้เช่นกัน การที่จะทราบได้อย่างชัดเจนนั้น คือ ต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวี เท่านั้น”

 

จากที่กล่าวมานี้ การจะทราบได้ว่า ตนเองติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ การเข้ารับการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากอย่างหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันสามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีได้ตาม โรงพยาบาลรัฐ คลินิกนิรนาม  หรือโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลนั้น ๆ แต่หากเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลรัฐบางโรงพยาบาลก็มีบริการตรวจให้ฟรี เพียงแค่มีบัตรประชาชนก็สามารถเข้ารับการตรวจได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทาง อย.ได้ทำการปลดล็อค ชุดตรวจเอชไอวี เพื่อให้ประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงได้ เพราะหากตรวจพบเชื้อ ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะได้เข้ารับ การรักษา และรับยาต้าน ได้อย่างทันท่วงที ดังนั้น การหาซื้อชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเอง อาจเป็นเรื่องที่ง่าย ที่ทุกคนสามารถ ทำได้ แต่สำคัญ คือ ต้องดูให้ดีว่า ชุดตรวจมีความปลอดภัย แม่นยำ และได้มาตรฐาน หรือไม่ แนะนำว่าให้ตรวจเช็ค จากเลขอย.ของสินค้านั้น และเช็ค ให้ว่าตรงกันหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ เพื่อความแม่นยำ และความปลอดภัย ของตัวคุณเอง

ย้ำอีกครั้งว่า เราไม่สามารถสังเกตจากอาการและยืนยันได้ว่าคุณติดเชื้อเอชไอวี แต่อาการผิดปกติที่เกิดขึ้นนั้น สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังป่วยด้วยโรคอะไรสักหนึ่งโรค ดังนั้นมันถือเป็นคำเตือนว่าคุณควรจะตรวจเช็คให้เรียบร้อยว่ากำลังป่วยด้วยโรคอะไรกันแน่ เพราะหากตรวจไวเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีต่อการรักษามากเท่านั้น