เราจะทราบได้อย่างไร ว่าเราติดเชื้อ HIV

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

หลายๆ ท่านที่ใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยง เช่น Unsafe sex หรือ สัมผัสน้ำคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ HIV
อาจกำลังสงสัยว่าตัวท่านเอง หรือคนใกล้ตัวท่าน ติดเชื้อ HIV หรือไม่
หากติดแล้วจะมีอาการยังไง… บันทึกนี้มีคำตอบครับ

 

เอดส์ ติดต่อกันได้อย่างไร

  1. การร่วมเพศ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัยไม่ว่าชายกับชาย ชายกับหญิง หรือหญิงกับหญิง
    ทั้งช่องทางธรรมชาติ หรือไม่ธรรมชาติ ก็ล้วนมีโอกาสติดโรคนี้ได้ทั้งสิ้น และปัจจัยที่ทำให้มี
    โอกาสติดเชื้อมากขึ้น ได้แก่ การมีแผลเปิด สำนักระบาดวิทยาเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ประมาณร้อยละ
    80 ของผู้ป่วยเอดส์ ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์
  2. การรับเชื้อทางเลือด ใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอดส์ มักพบในกลุ่มผู้ฉีดยาเสพติด
    และหากคนกลุ่มนี้ติดเชื้อก็สามารถถ่ายทอดเชื้อเอดส์ได้
  3. ทารก ติดเชื้อจากแม่ที่ติดเชื้อเอดส์ การแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูก ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ หากตั้งครรภ์
    และไม่ได้รับการดูแลอย่างดี เชื้อ HIV จะแพร่ไปยังลูกได้ในอัตราร้อยละ 30

 

 

เอดส์ มีอาการอย่างไร

ระยะที่ 1: ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
ภายใน 2 – 3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด
คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10 – 14 วันก็จะหายไปเอง
ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6 – 8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้
แต่ส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลย
คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัวและสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้
น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือน
กว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได้ ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา
โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน หากตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบ ก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน 6 เดือน
โดยในระหว่างนั้นก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์และห้ามบริจาคโลหิตให้ใคร
ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป
โดยต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด 1 – 2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง
ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากนี้ยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง
ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์

 

ระยะที่ 2: ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์

เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง
น้ำหนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก, งูสวัด, เริมในช่องปาก หรืออวัยวะเพศ
ผื่นคันตามแขนขาลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง แต่ไม่ใช่ว่ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกราย
ถ้าสงสัยควรปรึกษาแพทย์ และตรวจเลือดพิสูจน์

 

ระยะที่ 3: ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวย
และมีโอกาสเป็นมะเร็งบางชนิด การติดเชื้อฉกฉวยโอกาส หมายถึง การติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำไม่ก่อโรคในคนปกติ
แต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลง เช่น จากการเป็นมะเร็ง วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง
จอตาติดเชื้อทำให้ตาบอด ติดเชื้อที่ผิวหนัง ต่อมน้ำเหลือง ฯ นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์อาจมีอาการทางจิตทางประสาท
อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัยอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ ร้อยละ 5 – 6 ของผู้ที่ติดเชื้อ
จะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้น ส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน 2 – 4 ปี
จากโรคติดเชื้อฉกฉวย หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด

น่ากลัวมากนะครับ ทางที่ดี เมื่อสงสัยควรไปปรึกษาแพทย์และตรวจเลือด จากข้อมูลที่ให้ไว้ คือไปตรวจเลือดหลังจากวันที่คิดว่ารับเชื้อ 3 เดือน และตรวจซ้ำเมื่อครบ 6 เดือน แต่ทางที่ดีที่สุด คือ ใช้ชีวิตไม่ประมาท สิ่งใดที่เสี่ยง ก็อย่าไปทำ
พลาดเป็นเอดส์มาแล้ว ทั้งชีวิตนะครับ และอาจไม่ใช่แค่ชีวิตคุณ … ที่ต้องเสียไป

สิ่งที่ผู้ป่วยควรทราบ เมื่อต้องได้รับเลือด

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ให้เลือด

การให้เลือดคืออะไร ?

การให้การรักษาด้วยเลือด และส่วนประกอบของเลือด เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาที่สำคัญมาก ผู้ป่วยที่มีภาวะต่าง ๆ เช่น เสียเลือดจากอุบัติเหตุ การผ่าตัด มีภาวะซีด โลหิตจางเรื้อรัง ธาลัสซีเมีย หรือเป็นมะเร็งที่ได้ยาเคมีบำบัด อาการดังกล่าวนี้ จำเป็นต้องได้รับเลือด และส่วนประกอบของเลือด เช่น น้ำเหลือ พลาสม่า เกร็ดเลือด เพื่อการรักษาทั้งสิ้น

เลือดที่ท่านได้รับมาจากไหน ?

ผู้บริจาคเลือดเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีผู้บริจาคเลือดเต็มใจเดินทางมาบริจาคแล้ว ขบวนการต่าง ๆ เกี่ยวกับการให้เลือดคงไม่เกิดขึ้น เลือดและส่วนประกอบของเลือดที่ผู้ป่วยได้รับ จะต้องมาจากมนุษย์เท่านั้น ไม่สามารถผลิตจากสารอื่นใด หรือผลิตจากโรงงานผลิตยาได้ การส่งเสริมให้มีผู้บริจาคเลือดที่ปลอดภัย พร้อมใจกันบริจาคเลือดให้ผู้ป่วย จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นอาจไม่มีเลือดให้ผู้ป่วย เพื่อการรักษาอย่างเพียงพอ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ให้เลือด

เลือดที่ท่านได้รับปลอดภัยหรือไม่ ?

ดังที่กล่าวแล้วว่า เลือดที่ให้ผู้ป่วยนั้น ต้องมาจากคนเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเยื่อที่ไหลเวียนในร่างกายของผู้บริจาค การคัดเลือกผู้บริจาคเลือดให้ได้ผู้บริจาคที่ปลอดภัย และเต็มใจ จึงเป็นงานที่สำคัญมาก ผู้บริจาคเลือดที่คุณสมบัติไม่เหมาะสม ทางธนาคารเลือดจะขอให้งดบริจาคเลือดไว้ก่อน จนกว่าภาวะ หรือเหตุการณ์นั้นหมดไป และทำให้แน่ใจว่า ผู้บริจาคเลือดเป็นบุคคลที่ปลอดภัย และเต็มใจบริจาคเลือดให้ผู้อื่นอย่างแท้จริง

ในขบวนการจะมีการซักประวัติอย่างละเอียด และตรวจความสมบูรณ์ของร่างกาย เมื่อได้รับเลือดที่บริจาคมาแล้วจะมีการตรวจกรองการติดเชื้อ เชื้อต่าง ๆ ที่ตรวจได้แก่ เชื้อไวรัสเอดส์ เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี ซี และเชื้อซิฟิลิส

ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการตรวจสูงขึ้นมาก เพื่อเพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ป่วยที่รับเลือด แต่ถึงกระนั้นก็ตามความเสี่ยงจากการได้รับเลือดยังคงมีอยู่บ้าง ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดเพื่อการรักษา จะต้องเข้าใจ และยอมรับความเสี่ยง ได้แก่

  •           การติดเชื้อโรคอื่นที่ยังไม่มีการตรวจ เช่น เชื้อมาเลเรีย
  •           การติดเชื้อโรคที่แม้จะมีการตรวจ แต่ผู้บริจาคอาจจะอยู่ในระยะแรกจึงตรวจไม่พบ
  •           ปฏิกิริยาอันไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากการได้รับเลือด เช่น การมีไข้ ภาวะแพ้ต่าง ๆ

ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับเลือด และส่วนประกอบของเลือดเป็นประจำ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia) ฮีโมฟีเลีย (Hemophelia) ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องเข้าใจ และยอมรับการรักษาด้วยเลือดนั้นเป็นสิ่งจำเป็น และมีประโยชน์

อีกด้านหนึ่ง ผู้ป่วยต้องเข้าใจว่าการรับเลือดคือ การรับเซลล์ หรือเนื้อเยื่อที่มาจากบุคคลอื่น จึงยังคงมีความเสี่ยงอยู่

แพทย์ผู้สั่งการรักษาได้พิจารณาอย่างเหมาะสมในการให้การรักษาด้วยเลือด และส่วนประกอบของเลือด จึงต้องการให้ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดแม้เพียงครั้งเดียว หรือผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยเลือดเป็นประจำ เข้าใจในความตั้งใจดีของผู้บริจาคเลือด และธนาคารเลือด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับเลือดที่ปลอดภัยที่สุด

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

ถ้าท่านมีญาติ มีเพื่อน ที่ยินดีจะบริจาคเลือดให้ท่าน หรือให้ผู้ป่วยของโรงพยาบาลศิริราช ธนาคารเลือดมีความยินดีอย่างยิ่ง โปรดเชิญชวนญาติของท่านมาบริจาคเลือดทดแทน

เลือดเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของร่างกาย เปรียบเสมือนสายธารหล่อเลี้ยงชีวิต ตามปกติแล้ว มนุษย์จะมีเลือดไหลเวียนอยู่ในร่างกายประมาณ 4,000-5,000 ซีซี ดังนั้นการบริจาคเลือดเพียง 350-450 ซีซี หรือประมาณ 9% จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แต่จะมีผลดีคือ ช่วยให้ร่างกายมีการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดใหม่ออกมาชดเชย การบริจาคเลือดสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือนในผู้ชาย และทุก 6 เดือนในผู้หญิง

ทำไม? ต้องตรวจเอดส์อย่างน้อยปีละครั้ง

ทำไม? ต้องตรวจเอดส์อย่างน้อยปีละครั้ง

โดย…ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย

มีการคาดประมาณว่ามีคนไทยติดเชื้อเอดส์ตั้งแต่ต้นทั้งสิ้นหนึ่งล้านสองแสนคน เสียชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง คาดประมาณว่ามีคนไทยที่ติดเชื้อเอดส์ซึ่งมีชีวิตอยู่ขณะนี้ประมาณ 6 แสนคน มีคนไทยติดเชื้อรายใหม่ ขณะนี้ประมาณปีละ 16,000 คน และเสียชีวิตจากเอดส์ประมาณปีละน้อยกว่า 10,000 คน โดยแนวโน้มการเสียชีวิตจะลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากรัฐจัดบริการดูแลรักษาทั่วถึงมากขึ้น พร้อมทั้งรณรงค์ ให้ประชาชนตรวจเอดส์ฟรีปีละ 2 ครั้ง ก่อนที่จะป่วยขึ้นมา และการที่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อเอดส์หรือไม่ เป็น ก้าวแรกที่สำคัญจะนำไปสู่การป้องกันและดูแลรักษาที่ถูกต้องและจริงจัง

การจะรู้ว่าติดเชื้อหรือไม่ต้อง อาศัยการตรวจเอดส์อย่างเดียว ซึ่งคนไทยจำนวนมากยังเข้าใจว่าถ้าร่างกายแข็งแรงแสดงว่าไม่ได้ติด เอดส์ นอกจากนี้หลายคนไม่คิดว่าตัวเองอาจมีโอกาสติดเอดส์ได้ทั้งๆ ที่มีหรือเคยมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อ การติดเชื้อเอดส์ เพราะคิดว่าโอกาสน้อยหรือตัวเองไม่น่าจะเสี่ยง การรณรงค์ให้คนไทยเห็นถึงความส าคัญของการตรวจเอดส์ เช่นเดียวกับการตรวจเช็คสุขภาพ ประจำปี กับการตรวจเอดส์ฟรี จึงเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐควรนำขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังถ้าจะป้องกัน การแพร่ระบาดของเอดส์ให้ได้ผล รวมทั้งการยอมรับว่าการตรวจเอดส์เป็นหน้าที่ มีประโยชน์ และควรทำกันทุกคนเป็นประจำ (Routine voluntary testing)

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

คนที่ไปตรวจเอดส์ หรือคนที่เป็นเอดส์น้อยลง เพราะทุกคนต่างก็ตรวจเอดส์กันเป็นปกติวิสัย ซึ่งการที่รู้ว่าตัวเอง และคู่นอนไม่ติดเชื้อแน่นอน จะเป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญที่ทั้งคู่จะ ได้เริ่มต้นป้องกันการติดเอดส์อย่างจริงจัง จะได้ห่างจากเอดส์ไปตลอดชีวิต และถ้าตรวจแล้วเจอว่าติดเชื้อ ก็ควรถือว่าเป็นโชคดีที่รู้ตัวแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะแพร่ไปให้ภรรยา หรือลูก หรือจะได้ป้องกันไม่ให้คน ที่เรารักติดเชื้อตามไปด้วย หรือก่อนที่จะเจ็บป่วยขึ้นมา จะได้ดูแลรักษาทันท่วงที ทั้งนี้มีเพียงร้อยละ 50- 60 ของคู่นอนของสามี หรือภรรยาที่ติดเชื้อจะติดเชื้อด้วย ดังนั้น จึงยังมีโอกาสที่จะป้องกันอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ให้ติดเชื้อตาม และทำให้สามารถดูแลตัวเองไม่ให้รับเชื้อเพิ่ม ภูมิต้านทานจะได้ไม่ทรุดลงเร็ว และจะได้เข้าสู่ระบบการดูแลรักษาที่ถูกต้อง จะได้ไม่ป่วยหรือเสียชีวิตจากเอดส์

ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าใน การดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอดส์เป็นอย่างมาก ถ้าได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องแต่เนิ่นๆ ก็จะทำให้ผู้ติดเชื้อจะ สามารถมีอายุยืนยาว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่าๆกับคนที่ไม่ติดเชื้อทั่วไป อีกทั้งผู้ติดเชื้อไทยก็นับว่าโชค ดีที่รัฐจัดบริการดูแลรักษาให้ฟรีทุกคน สำหรับผู้ที่ไม่เคยตรวจก็ไม่มั่นใจว่าตัวเอง และคู่นอนติดเชื้ออยู่ หรือไม่ คนที่เคยมีเพศสัมพันธ์ หรือกำลังมีเพศสัมพันธ์อยู่ มีโอกาสจะติดเอดส์ได้ทั้งนั้น โดยมีข้อมูล ของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย บอกว่าคนที่เคยตรวจเอดส์มาก่อน จะมีโอกาสติดเอดส์น้อยกว่าคนที่ไม่เคยตรวจเอดส์เลยถึง 10 เท่า ดังนั้นศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย จึงขอร่วมรณรงค์ให้คน ไทยทุกคนตรวจหาเชื้อเอดส์ ดังคำขวัญ

“ปีนี้คุณตรวจเอดส์แล้วหรือยัง… การตรวจเอดส์ ป้องกันและรักษาชีวิตได้”

ก็ดีเหมือนกันที่ฉัน…เป็นเอดส์

คนส่วนใหญ่มักจะมองแต่ว่า ‘การเป็นเอดส์’ มีแต่ข้อเสีย มีแต่ด้านลบ และถือเป็นความผิดพลาดในชีวิตที่ไม่ควรได้รับการให้อภัย แต่คุณอาจลืมมองไปว่า ภายใต้ ‘ความผิดหวัง’ ยังคงมี ‘ความดีงาม’ บางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแค่คุณพร้อมที่จะเปิดใจคุณก็จะพบว่า ยังมีใครอีกหลายๆคนพร้อมจะจับมือคุณเดินต่อไปในเส้นทางชีวิตที่แสนห่อเหี่ยว และทำให้มันกลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

อย่ามัวแต่คิดถึงข้อเสียของการเป็นเอดส์เพียงอย่างเดียว เพราะยิ่งคิดก็จะยิ่งทำให้อาการที่คุณเป็นอยู่แย่ลง และไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้เลย ลองมานึกถึงข้อดีข้อมันบ้างดีกว่า ว่า ‘การเป็นเอดส์’ ตอบแทนอะไรให้แก่คุณได้บ้าง

 

 

1.      ก็ดีเหมือนกัน…ฉันจะได้เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น

บางทีคุณอาจจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ข้างๆคุณ รักคุณมากแค่ไหน เพราะบางคนไม่กล้าพอที่จะแสดงความรักที่เขามีออกมาให้คุณได้รับรู้ตลอดเวลา แต่เมื่อใดที่คุณอ่อนแอหรือล้มลง บุคคลที่อยู่ข้างๆเหล่านี้ ก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคุณเสมอ คอยพยุงคุณไว้ในวันที่อ่อนล้า และพาคุณก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้า ขอเพียงแค่คุณเริ่มต้นพูดและฟังคนรอบข้างให้มากขึ้น พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ แล้วพวกเขาก็จะเปิดใจและให้อภัยกับความผิดพลาดที่คุณเคยทำมาอย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะรักและเข้าใจเราได้เท่ากับคนในครอบครัวของเราอีกแล้ว

2.      ก็ดีเหมือนกัน…ฉันจะได้ลดน้ำหนักได้สักที

แน่นอนว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไปวีย่อมเป็นบุคคลที่มีร่างกายไม่แข็งแรง เนื่องจากเชื้อไวรัสตัวนี้จะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยหรือติดเชื้อบางเชื้อได้ง่าย ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ติดเชื้อไอชไอวีจึงควรพยายามออกกำลังกาย เพื่อบริหารความสมบูรณ์ของร่างกายให้ได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่คุณออกกำลังกายอย่างถูกวิธี จะมีผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคได้ดีมากขึ้น และผลพลอยได้จากการออกกำลังกายนี้ ก็ย่อมมีส่วนให้คนที่เคยมีน้ำหนักตัวมากๆสามารถมีน้ำหนักที่ลดน้อยลง หรือมีรูปร่างที่สมส่วนมากขึ้นได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็ยังจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ เพื่อให้สารอาหารเข้าไปช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายให้มากขึ้น พร้อมๆไปกับการรับประทานยาต้านเชื้อไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากคุณสามารถปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ได้ คุณก็จะสามารถมีชีวิตที่แข็งแรงได้ไม่แพ้กับคนปกติทั่วไปเลย
          3. ก็ดีเหมือนกัน…ฉันจะได้พักผ่อนให้มากขึ้น

ต้องยอมรับว่า คนบางคนใช้ชีวิตแต่ละวันที่หนักมาก “ตื่นแต่เช้าฝ่ารถติดไปทำงาน” “ตกเย็นสังสรรค์จนมืดค่ำ” “กว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง” ซึ่งการใช้ชีวิตซ้ำๆเช่นนี้ทุกวัน ย่อมมีผลให้ร่างกายเสื่อมถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อใดที่คุณป่วย คุณก็จะจำเป็นต้องหันมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะหายไปโดยปลิดทิ้ง เพราะร่างกายสำคัญไปกว่าการทำงานหรือการสังสรรค์ คุณจึงจำเป็นจะต้องรักษาตัวให้ดีมากที่สุด จากที่เคยเป็นคนพักผ่อนน้อย หรือเคร่งเครียดจากการทำงานมาก ไลฟ์สไตล์ที่เคยเป็นก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไป เพื่อปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งนี่กับเป็นผลดีที่ทำให้คุณหันมาดูแลใส่ใจตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะการใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วงแบบที่คุณเคยทำ อาจทำให้ชีวิตสั้นกว่าชีวิตที่คุณดูแลตัวเองเป็นอย่างดีหลังจากได้รับเชื้อเอชไปวีไปแล้วก็ได้

          4. ก็ดีเหมือนกัน…ฉันจะได้เข้าใจในชีวิตมากขึ้น

ถ้าไม่มีทุกข์ ก็คงไม่มาตามหาสาเหตุแห่งทุกข์ แต่เมื่อใดที่เราพบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์แล้ว ก็ควรจะต้องแก้ไขมันให้ได้ ตามหลักความเป็นจริงใน “อริยสัจ 4”  ทุกครั้งที่เราเกิดความทุกข์ ธรรมมะจะช่วยขัดเกลาให้เรามองเห็นความเป็นจริงได้ดีมากยิ่งขึ้น  เพราะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ชีวิตของเราเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นธรรมดาและเป็นความจริงที่สุด แม้ว่าวันใดที่ร่างกายของเราอ่อนแอเนื่องจากโดนพิษร้ายที่เกิดจากการติดเชื้อเล่นงาน แต่อย่าทำให้จิตใจต้องติดอยู่ในความร้ายกาจนั้นไปด้วย การทำจิตให้แน่วแน่ มีสติและสมาธิ จะช่วยให้คุณสบายใจได้มากขึ้น และเข้าใจในความเป็นไปของโลกได้มากขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะจากคนที่ไม่เคยเข้าใจในความเป็นไปของชีวิตเลย กลับสามารถพบทางออก หรือเข้าใจในชีวิตมากยิ่งขึ้นได้ ด้วยตัวแปรที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ “การติดเชื้อเอชไอวี” นั่นเอง

พอจะทราบถึง “ข้อดี” ของการเป็นเอดส์กันไปแล้ว ก็หวังว่าผู้ติดเชื้อทุกท่านจะมีกำลังใจในการมีชีวิตต่อได้มากยิ่งขึ้นนะคะ คนเราเกิดมาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการสร้างสิ่งที่งดงามเอาไว้ให้ผู้อื่นได้จดจำ เพราะแม้แต่ต้นไม้มันยังเกิดมาเพื่อให้ออกซิเจนกับสิ่งมีชีวิตเลย หากคุณไม่สามารถทำความดีตอบแทนให้โลกหรือทำผู้คนจดจำในความดีได้เลย ก็คงไม่ต่างอะไรกับวัชพืชที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายไปเพียงเท่านั้น

HIV vs เอดส์ แตกต่างกัน ชัดๆ มีเพศสัมพันธ์ สร้างครอบครัวได้ปกติ

วันนี้เราขอนำเสนอประเด็นน่าสนใจที่หลายคนยังเข้าใจผิด เกี่ยวกับ “HIV” และ “เอดส์” แตกต่างกันอย่างไร ซึ่งคนส่วนใหญยังมีความเข้าใจกันว่า HIV กับเอดส์ไม่แตกต่างกันแตกต่างกัน

ทั้งนี้ ก็ได้แต่หวังว่า เรื่องราวที่เราได้นำเสนอในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์และสร้างความเข้าใจใหม่ๆ ว่าบุคคลเหล่านี้ก็สามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ สามารถสร้างครอบครัวที่มีความสุขได้อย่างปกติ

มารู้จักสถานบำบัดโรคเอดส์กันเถอะ

เป็นที่รู้กันดีอยู่ว่า “โรคเอดส์” คือ โรคร้ายที่ไม่มีใครอยากพบเจอ หรือถ้าจะให้ดีขอไม่อยู่ใกล้กับคนเป็นเอดส์น่าจะดีกว่า แต่คุณรู้หรือไม่ว่า คนที่เป็นเอดส์ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการ ตรวจ HIV อย่างถูกต้อง และคือ บุคคลผู้น่าสงสาร บางทีเขาและเธออาจจะไม่ใช่ต้นเหตุแห่งการเกิดโรคร้ายนี้ด้วยซ้ำ แต่จำเป็นต้องมารับกรรมเพราะได้รับการถ่ายทอดเชื้อไวรัสเอชไอวีจากบุคคลอื่นๆที่ประพฤติตัวไม่เหมาะสม แต่เมื่อเรื่องร้ายเกิดขึ้นแล้ว ก็คงปฏิเสธหรือถอยหลังย้อนกลับไปเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ มีเพียงทางเดียวที่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนพึงกระทำ ก็คือ การพยายามอยู่กับมันให้มีความสุขมากที่สุดเท่าที่จะสามารถมีได้นั่นเอง

โลกของเราไม่ได้ใจแคบกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีมากจนเกินไปหรอกค่ะ เพราะยังมีหน่วยงานต่างๆมากมาย ที่พร้อมจะให้การบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคนี้ ให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนานมากที่สุด หรือช่วยเติมเต็มชีวิตของพวกเขาให้มีความสุขมากเท่าที่จะสามารถทำได้

ในประเทศไทยของเรา มีองค์กรที่กล่าวถึงนี้อยู่หลายที่ด้วยกัน วันนี้เราจะมายกตัวอย่างสถานบำบัดโรคเอดส์ที่สำคัญในประเทศไทย ว่าใครบ้างที่พร้อมจะให้ความพึงพิงแก่ผู้ป่วยโรคร้ายเหล่านี้

1.      วัดพระบาทน้ำพุ หรือวัดพระพุทธบาทประทานพร

เมื่อกล่าวถึงชื่อ  “วัดพระบาทน้ำพุ” เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถานที่ให้ความสงบทางจิตใจเพียงเท่านั้น แต่วัดพระบาทน้ำพุ ยังเป็นที่ตั้งของ “มูลนิธิธรรมรักษ์” ซึ่งเป็นสถานที่พักฟื้นผู้ติดเชื้อเอชไอวีระยะสุดท้ายอีกด้วย โดยวัดพระบาทน้ำพุ เริ่มต้นรับผู้ป่วยโรคเอดส์ครั้งแรกตั้งแต่ พ.ศ. 2535 โดยได้รับการสนับสนุนและได้รับงบประมาณจากกระทรวงสาธารณสุขและกรมศาสนา สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการรองรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอดส์จากทั่วประเทศ พร้อมมีกิจกรรมพิเศษที่ช่วยบำบัดจิตใจของผู้ติดเชื้อทุกคน เช่น การสวดมนต์ การเดินจงกรม การเล่นโยคะ รวมถึงการออกกำลังกายในรูปแบบต่างๆ อีกทังยังรับอุปการะเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบโรคเอดส์จากบิดามารดาซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อด้วย

 2.       มูลนิธิดวงประทีป

            เป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ทำงานเพื่อเด็กและเยาวชนที่ยากจน รวมถึงผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ต้องการความช่วยเหลือมาโดยตลอด ทั้งนี้ เนื่องจากวัตถุประสงค์ขององค์กรต้องการที่จะพัฒนาและส่งเสริมประชาชนให้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาชุมชน รวมถึงเพื่อเผยแพร่ความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ และยาเสพติด ทำให้ที่นี่มีบริการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์อยู่หลากหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น การให้คำปรึกษาเรื่องวิธีในการปฏิบัติตนหรือการดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ รวมไปถึงการออกเยี่ยมผู้ป่วยตามบ้านเรือนในบริเวณใกล้เคียงด้วย

3.      ศูนย์โฮปไลน์

เป็นศูนย์บริการที่ทำงานเพื่อผู้ป่วยโรคเอดส์อีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ซึ่งเปิดให้บริการทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์ ที่ศูนย์บริการแห่งนี้มีอาจารย์อนุกูลเป็นที่ปรึกษา และมีนายแพทย์ประยุกต์ เสรีเสถียร เป็นผู้อบรมกลุ่มนักศึกษาอาสาสมัครที่เรียนมาทางด้านจิตวิทยาโดยตรง เพื่อให้พวกเขาเข้ามาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่ผู้ติดเชื้อทุกท่าน ที่เข้ามาขอคำปรึกษาในเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ ซึ่งกำลังใจจากองค์กรแห่งนี้ ก็ถือเป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อสามารถใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น

4.         บ้านธานน้ำใจ

บ้านธานน้ำใจดำเนินงานโดยสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน (PDA) สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่รับเลี้ยงทารกที่เกิดมาจากมารดาที่ติดเชื้อเอชไอวี และถูกทอดทิ้งเอาไว้ตามโรงพยาบาลต่างๆ โดยหน้าที่หลักของบ้านธานน้ำใจ ก็คือ การให้ความรักความอบอุ่นแก่เด็กแรกเกิดผู้โชคร้ายเหล่านี้ รวมถึงการจัดหาครอบครัวให้แก่เด็กน้อยที่ไม่ได้รับการติดเชื้อจากแม่ เพื่อให้เด็กน้อยเหล่านั้นสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างเป็นปกติสุขหลังจากที่พวกเขาเริ่มเติบโตขึ้นแล้ว และเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระการเลื้ยงดูทารกของโรงพยาบาลต่างๆ ที่แม่ผู้ติดเชื้อทิ้งลูกน้อยของเธอเอาไว้ด้วย

ส่วนในกรณีที่ผู้ติดเชื้อมีปัญหาด้านทางกฏหมายหรือการละเมิดสิทธิ์ทางเพศ ก็มีหน่วยงานอีกหลากหลายแห่ง ที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือทั้งทางด้านการแจ้งความตามกฎหมาย หรือการติดต่อประสานงานต่างๆกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยรายชื่อของหน่วยงานเหล่านี้ ได้แก่ ศูนย์คุ้มครองสิทธิ์ด้านเอดส์, องค์กรเพื่อนหญิง, มูลนิธิผู้หญิง หรือ ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก  หน่วยงานเหล่านี้จะคอยยื่นมือมาโอบอุ้มคุณในเวลาที่คุณกำลังอ่อนแอหรือล้มลงโดยไม่มีใครเหลียวแล ทั้งนี้ ก็เพื่อช่วยเหลือให้คุณสามารถกลับมามีจิตใจที่แข็งแรงได้อีกครั้ง และช่วยให้คุณสามารถมีชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างยาวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เห็นหรือยังค่ะว่า คุณไม่ได้ยืนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ ในวันที่มืดมนหมดหนทาง ยังคงมีแสงสว่างรอคอยคุณอยู่ที่ทางออกเสมอ ขอเพียงแค่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ หรือยกธงขาวยอมแพ้ต่อโชคชะตาไปเสียก่อน หากคุณเริ่มท้อใจก็ขอแค่เพียงนั่งพักให้พอมีแรงที่จะเดินต่อไป และเมื่อไรที่คุณสามารถเรียกพลังกลับคืนมาได้แล้ว ก็ขอให้คุณจงใช้พลังที่มีนั้นอย่างถูกทาง เพื่อให้บั่นปลายของทางเดินชีวิตที่เหลืออยู่ เต็มไปด้วยความสุขในทุกวัน และคุณจะไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ตัดสินใจต่อสู้กับโรคร้ายชนิดนี้อีกครั้ง

ตามติดชีวิต ‘คนเป็นเอดส์’

เมื่อพูดถึง ‘คนเป็นเอดส์’ หลายๆคนอาจจะนึกถึง ผู้ป่วยที่นอนพะงาบรอความตายอยู่บนเตียง หรือคนป่วยที่มีน้ำหนองไหลเยิ้มไปทั่วร่างกาย แต่นั่นไม่ใช่ลักษณะอาการของผู้ป่วยโรคเอดส์ทุกระยะ  ผู้ป่วยโรคเอดส์บางคนสามารถออกมาเดินชอปปิ้ง ทำงาน หรือทำกิจกรรมต่างๆได้ไม่แตกต่างอะไรกับคนปกติเลย เพราะตราบใดที่เชื้อโรคเอดส์ยังถูกควบคุมไว้ด้วยยา และพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ไปแพร่เชื้อโรคร้ายให้แก่ใคร คนเหล่านี้ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรเลยกับคนปกติอย่างเราๆ

คนที่ได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าไปในร่างกาย อาจจะไม่จำเป็นต้องติดเชื้อเอดส์เสมอไป ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อนั้น ขึ้นอยู่กับหลากหลายตัวแปร เช่น จำนวนครั้งที่สัมผัสกับไวรัส ความร้ายกาจของไวรัสเอดส์ที่เข้าสู่ร่างกาย หรือภูมิต้านทานของร่างกายที่แต่ละคนมี เป็นต้น ซึ่งปัจจัยต่างๆก็ส่งผลอย่างยิ่งต่อการแสดงอาการของโรคเอดส์ อาการที่เกิดขึ้นสามารถเกิดได้หลายรูปแบบตามระยะการดำเนินของโรค ดังต่อไปนี้

ระยะที่ 1 – ระยะที่ไม่มีอาการ

หลังจากที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป  2 ถึง 3 สัปดาห์แรก ผู้ติดเชื้ออาจมีอาการคล้ายๆกับการเป็นไข้หวัด นั่นคือ มีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว หรือเป็นผื่นตามตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะปรากฏเพียงแค่ 10-14 วัน และจะหายไปเองเหมือนเวลาที่เราเป็นหวัดทั่วๆไป ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทันสังเกต และคิดว่าเป็นอาการที่เป็นอยู่นี้เป็นอาการของไข้หวัดธรรมดา

ประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์ภายหลังการติดเชื้อ ผู้ติดเชื้อจะยังไม่แสดงอาการใดๆ เพียงแต่ถ้าผู้ป่วยได้รับการตรวจเลือด จะเริ่มพบว่ามี ‘ภาวะเลือดบวก’ หรือหมายความว่า มีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือด ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดบวกภายหลังจากการรับเชื้อไปแล้ว 3 เดือน ซึ่งภาวะเช่นนี้ ร่างกายจะตอบสนองโดยการสร้างโปรตีน “แอนติบอดี (antibody)” ขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์ เพื่อเป็นเครื่องแสดงว่า ได้มีเชื้อเอดส์เข้ามาสู่ร่างกายแล้ว แต่ยังไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้

จากการศึกษาพบว่า การใช้ชุดตรวจเอชไอวีที่ไม่มีคุณภาพ ผู้ป่วยบางคนอาจจะต้องรอนานถึง 6 เดือน กว่าที่เลือดจะแสดงผลเป็นบวก ดังนั้น หากใครที่คิดว่าตนเองมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ก็จำเป็นต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์  เพื่อป้องกันการเพิ่มโอกาสการแพร่กระจายเชื้อ และต้องหมั่นไปตรวจเลือดบ่อยๆ เพื่อให้แน่ใจจริงๆว่าคุณยังคงปลอดภัยจากไวรัสชนิดนี้อยู่

ในช่วงเวลานี้ ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโตได้ โดยจะปรากฎอยู่เป็นระยะเวลานานมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป ต่อมน้ำเหลืองนี้จะมีลักษณะเป็นเม็ดแข็งกลม ลักษณะคล้ายลูกประคำ ขนาด 1 ถึง 2 เซนติเมตร โดยจะพบอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณข้างลำคอทั้ง 2 ข้าง  หรืออาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่บ่มเพาะของเชื้อไวรัสเอดส์ ซึ่งจะแบ่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะออกมาแพร่ความร้ายกาจไปทั่วร่างกาย

 ภาพจาก : http://hepatitisoutreachsociety.com/tag/travel/

ระยะที่ 2 – ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์

เป็นระยะที่คนไข้เริ่มแสดงอาการ แต่ยังไม่เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นในลักษณะของการเป็นไข้เรื้อรัง น้ำหนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ ในขณะที่ผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีเชื้อราในช่องปาก เป็นเริมในช่องปาก มีผื่นขึ้นตามลำตัว แขน และขา  ซึ่งโดยรวมแล้วจะเห็นได้ว่าอาการที่เป็นในช่วงนี้ยังไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆก็อาจจะมีอาการเจ็บป่วยเช่นนี้ได้เสมอ  ดังนั้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังเกิดอาการดังที่กล่าวมานี้ จึงควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือดพิสูจน์ว่า คุณนั้นเข้าข่ายผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือเป็นเพียงอาการป่วยธรรมดาๆเท่านั้น

ระยะที่ 3 – โรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์

โรคเอดส์เต็มขั้น เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายถูกทำลายลงไปอย่างมากแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวยได้บ่อยๆ และเกิดเป็นมะเร็งบางชนิดได้ โดยเชื้อฉกฉวยในที่นี้ หมายถึง การติดเชื้อที่ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงในคนปกติ แต่หากบุคคลนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลง จะทวีความรุนแรงของอาการที่มากขึ้น เช่น การได้รับยาบางชนิดอาจทำให้เกิดเป็นวัณโรคที่ปอด ต่อมน้ำเหลือง ตับ หรือสมองได้

ตัวอย่างของเชื้อฉกฉวยที่จะกล่าวถึง ได้แก่ เชื้อพยาธิที่ชื่อว่า “นิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ” ซึ่งทำให้เกิดโรคปอดบวมขึ้นได้ หรือจะเป็นเชื้อราที่ชื่อว่า “คริปโตคอคคัส” ซึ่งทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ส่วนเชื้อ “ซัยโตเมกกะโลไวรัส (CMV)” ก็ส่งผลให้ตาบอดหรือทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดได้

นอกจากนี้ยังมีเชื้อราอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “แคโปซี่ซาร์โคมา” ซึ่งพบได้ตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงแดง คล้ายๆกับจุดห้อเลือดหรือไฝ  จุดดังกล่าวจะขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ  และบางครั้งอาจแตกเป็นแผลและมีเลือดออกได้ เชื้อไวรัสชนิดนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้น ผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์ทุกคน จึงควรตรวจมะเร็งปากมดลูกอยู่เสมอทุกๆ 6 เดือน

ส่วนใหญ่ของคนที่ป่วยเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น จะเสียชีวิตภายใน 2 ถึง 4 ปี จากโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่สามารถรักษาได้ผล หรือจากการเป็นมะเร็งที่อันตรายมากๆ อย่างไรก็ตาม ทางการแพทย์มีการคิดค้นผลิตยาต้านเชื้อไวรัสเอดส์ขึ้นมาได้หลากหลายชนิด ซึ่งยาที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน สามารถยืดชีวิตของคนไข้ออกไปได้นาน 10 ถึง 20 ปี หรือจนกว่าผู้ป่วยคนนั้นจะสิ้นชีวิตจากความชรา