โรคเอดส์ติดต่อได้อย่างไร

โรคเอดส์ติดต่อได้อย่างไร

โรคเอดส์ติดต่อได้อย่างไร
โรคเอดส์ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่มีสาเหตุมาจาก การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งในความคิดของหลาย ๆ คน เชื่อว่าโรคนี้ สามารถติดต่อกันได้ง่าย จนทำให้หลายคนรู้สึกเป็นกังวล เมื่อต้องเข้าไปอยู่ใกล้ชิด หรือ แม้แต่การใช้ของร่วมกันกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ทว่าโรคเอดส์นั้นสามารคติดต่อกันทางใดได้บ้าง เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ และศึกษาเพื่อทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เตรียมรับมือกับความเสี่ยงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
โรคเอดส์เกิดจาก เชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Human Immunodeficiency Virus ซึ่งอาศัยอยู่ในสารคัดหลั่งต่าง ๆ ของร่างกายผู้ป่วย ได้แก่ เลือด อสุจิ นำหล่อลื่นจากอวัยวะเพศชาย หรือ ของเหลวที่อยู่ในช่องคลอด และทวารหนัก ทั้งนี้ยังรวมไปถึงน้ำนมที่ให้ทารกดูดกิน โดยทั่วไปแล้ว คนที่จะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้นั้น ก็ต่อเมื่อไปสัมผัส กับสารคัดหลั่งโดยตรงทั้งๆ ที่มีบาดแผล หรือเยื่อเมือกบุผิวภายในช่องปาก ช่องคลอด หรือทวารหนัก

สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่
-การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือ ทางทวารหนักกับผู้ที่ติดเชื้อมาแล้ว โดยที่ไม่ได้มีการป้องกันใด ๆ การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก กับผู้ที่ติดเชื้อ โดยผู้ที่เป็นฝ่ายรับจะมีความเสี่ยงมากที่สุด แต่หากเป็นฝ่ายรุกก็มีโอกาสติดเชื้อได้เช่นกัน ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ ผ่านทางช่องคลอดนั้น ก็มีโอกาสติดเชื้อได้เช่นกัน กับการมีเพศสัมพันธ์ทางทวาร อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักจะมีความสี่ยงมากกว่า การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด
– สัมผัสกับสารคัดหลั่ง และเลือดของผู้ป่วยโดยตรง ทั้งๆ ที่มีบาดแผล หรือเยื่อเมือกบุผิวภายในช่องปาก
-การใช้เข็มฉีดยา และเครื่องมือเตรียมฉีดยาร่วมกับ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี เพราะเนื่องจากว่าเชื้อเอชไอวีนั้นจะอยู่ในเข็มฉีดยาได้นานถึง 42 วัน หากว่ามีอุณหภูมิและปัจจัยอื่น ๆ ที่เหมาะสม
-การแพร่เชื้อจากมารดาสู่ลูก จะติดต่อได้ในขณะ ที่กำลังตั้งครรภ์ ระหว่างคลอด หรือช่วงที่มารดาให้นมลูก ทั้งนี้ล้วนมีความเสี่ยงสูงที่สุด ถ้าหากว่ามารดาไม่ได้ ทานยาต้านไวรัสเอชไอวี และไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

เชื้อเอดส์อยู่ด้านนอกได้หรือไม่ อยู่ได้นานแค่ไหน

ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัสเอดส์นี้ จะรุนแรงเมื่ออยู่ในร่างกาย แต่หากอยู่ด้านนอกนั้นก็เหมือนกับว่า เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีอายุสั้น ไม่สามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมภายนอกได้ ซึ่งจะอยู่ได้นานแค่ไหนนั้น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม ถ้าหากสิ่งเเวดล้อมนั้น มีความร้อน มีความเป็นกรด เป็นด่าง ก็จะตายไปทันที แต่ถ้าได้ที่เหมาะสมๆ มีความชื้นดีๆ หรือห้องที่มีอุณหภูมิราวๆ 20 องศาเซลเซียส ก็จะอยู่ได้ หลายวันแต่ไม่ถึงสัปดาห์

ความจริงเกี่ยวกับโรคเอดส์และเอชไอวี

1. ยุงกัดกลัวติดเชื้อเอชไอวี เรื่องนี้ ไม่จริงค่ะ

2. สุขภาพแข็งแรงขนาดนี้ไม่ติดเอชไอวีหรอก เรื่องนี้ ไม่จริงค่ะ อาการในผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีนั้น ในระยะเริ่มต้นประมาณ 10 ปี จะไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย การที่จะรู้หรือไม่ ต้องไปตรวจหาเชื้อเอชไอวีเท่านั้น

3. การมีคู่นอนเพียงคนเดียว ช่วยป้องกันตนเองจากความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชไอวีได้ เรื่องนี้ จริงค่ะ

4. ถุงยางอนามัย สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ได้ ต้องใช้ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์และใช้อย่างถูกวิธี

5. รับประทานอาหารร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเอดส์ จะติดเชื้อเอชไอวี เรื่องนี้ ไม่จริงค่ะ เพราะน้ำลายมีปริมาณเชื้อน้อยมากจนไม่ทำให้ติดโรค และในกระเพาะอาหารจะมีกรดที่ทำลายเชื้อเอชไอวีได้

เอดส์ ป้องกันได้หากระมัดระวัง
โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวอย่างที่คิด โรคเอดส์ติดต่อได้อย่างไร เนื่องจากโรคเอดส์สามารถติดต่อได้หลายช่องทาง ดังนั้นควรที่จะรู้จักวิธีการป้องกัน โดยใส่ใจในเรื่องของการมีเพศสัมพันธ์ของตนเองให้ปลอดภัย เช่น การมีเพศสัมพันธ์ โดยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง หรือไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ ทั้งนี้แล้ว ควรรักษาสุขภาพของตนเองให้ดี โดยหลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ควรระมัดระวังในการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ป่วย ควรสวมถุงมือยางทุกครั้ง และล้างมือด้วยสบู่ รวมถึงการแยกทิ้งขยะ ที่มีสารคัดหลั่งปนเปื้อนออกเป็นชนิด ๆ หรือหากผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ก็สามารถตรวจหาเชื้อได้เพียงไม่กี่ขั้นตอนเท่านั้น รู้ผลทันที สะดวก ใช้งานง่าย และการเลือกซื้อ ชุดตรวจเอชไอวี (HIV) กับร้านที่ผ่านการรับรอง และได้มาตรฐาน มีการให้คำแนะนำที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ จึงทำให้ท่านมั่นใจได้ในทุกครั้งที่ตรวจ มีความปลอดภัย แม่นยำสูง เชื่อถือได้ ส่วนผู้ที่ได้รับเชื้อไปแล้ว ก็ควรรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสแล้ว ยังช่วยยับยั้งอาการ ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างปกติสุข

แท้จริงแล้วชุดตรวจเอชไอวี ที่มีอยู่ในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งช่องทางการหาซื้อ ก็แบ่งเป็นร้านขายยา และทางอินเตอร์เน็ต สิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ เลขอย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ของไทย ผู้ซื้อควรพิจารณาถึงตรงนี้ได้ เพราะหากไม่มีเลขอย. ก็ถือว่าชุดตรวจนั้นอาจไม่ได้มาตรฐานจริงๆ นอกจากนี้ควรถามถึงวิธีการใช้งาน และความแม่นยำของชุดตรวจ ซึ่งควรแม่นยำมากกว่า 90% ถึงจะมั่นใจได้ว่าสามารถตรวจเอชไอวีได้จริง การตรวจเอชไอวีในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบทั้งที่สามารถตรวจได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ หรือ 3-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดชุดตรวจ และช่วงเวลาในการตรวจ หากพ้นระยะฟักตัวของเชื้อแล้วก็สามารถสบายใจได้ โดยระยะฟักตัวของเชื้อจะอยู่ในช่วง 21- 30 วัน หลังจากได้รับความเสี่ยงมา

 

 

HIV อาการ ระยะเริ่มต้นเป็นอย่างไร

HIV อาการ

HIV อาการ …..เอชไอวี (HIV) เป็นเชื้อไวรัส ที่จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ซึ่งเป็นระบบที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค ที่อยู่ภายในของร่างกาย ระยะเริ่มต้นเป็นอย่างไร เชื้อไวรัสตัวนี้ จะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน แล้วร่างกายจะเกิดการติดเชื้อ และมีอาการเจ็บป่วยได้ง่าย หรือ อาจจะเสียชีวิตลงได้ด้วยโรคนี้

การติดเชื้อเอชไอวี เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่สามารถแพร่เชื้อ ติดต่อได้ หากมีเพศสัมพันธ์ ผ่านทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก โดยที่ไม่ได้มีการป้องกัน และเชื้อไวรัสชนิดนี้ ยังสามารถแพร่เชื้อติดต่อได้อีก ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือที่เรียกว่า Oral sex แบบที่ไม่ได้ป้องกันเช่นกัน โดยเฉพาะการหลั่งอสุจิภายในปาก เมื่อในปากนั้นมีบาดแผล เชื้อจะเข้าผ่านทางเยื่อเมือก ของบาดแผล เชื้อเอชไอวียังสามารถติดต่อได้ ผ่านทางเลือด ไม่ว่าจะเป็น การไปใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ที่อาจมีเชื้อเอชไอวี หรือการที่บาดแผล สัมผัสกับเลือดของผู้มีเชื้อเอชไอวี

อาการHIV

HIV อาการ …. อาการของ โรคเอชไอวี จะแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ

  • ระยะเฉียบพลัน เป็น ระยะแรกของการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) จะเกิดขึ้นในระหว่าง 2-3 สัปดาห์ หลังจากการติดเชื้อ ซึ่งในระยะนี้ ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อมาแล้วส่วนมาก จะเริ่มมีอาการเหมือนกับเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ขึ้น ปวดเมื่อยตามร่างกาย เจ็บคอ มีผื่นขึ้นตามร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งอาการดังกล่าว เกิดจากการที่ร่างกาย ได้ตอบสนอง ตอบโต้กับเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย เพราะเนื่องจากในระยะนี้ เชื้อไวรัสเอชไอวี จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในร่างกาย ทำให้เซลล์ CD4 (เม็ดเลือดขาว) ในร่างกาย มีการลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นระยะที่มีความเสี่ยงสูงมาก ที่ผู้ป่วยติดเชื้อจะแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่น

อย่างไรก็ตาม หลังจากระยะเฉียบพลันแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะค่อย ๆ ทำให้ปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวี อยู่ในระดับที่คงที่ เรียกว่า Viral Set Point หมายความว่าเชื้อไวรัสจะมีปริมาณคงที่ในร่างกายและปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่จะยังมีสูงเท่ากับก่อนติดเชื้อ จากระยะแรกนี้เปลี่ยนเข้าสู่ระยะต่อไป ใช้เวลา 7 – 8 ปี แต่ในบางคนไม่มีอาการนานถึง 10 ปี

อาการในระยเฉียบพลันที่อาจพบได้ ได้แก่ ปวดหัว มีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ มีผื่น ปวดที่กล้ามเนื้อและข้อ มีแผลในปาก มีแผลที่อวัยวะเพศ เหงื่อออกตอนกลางคืน ท้องเสีย

  • ระยะสงบ เป็นระยะที่เชื้อไวรัสเอชไอวีจะอยู่ในร่างกายโดยที่จะไม่มีการแสดงอาการใด ๆ หรืออาจมีการแสดงอาการเพียงเล็กน้อย บางครั้งอาจจะเรียกระยะนี้ว่า “ระยะติดเชื้อเรื้อรัง” ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ซึ่งในระยะนี้เชื้อไวรัสเอชไอวีจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับต่ำ และจะใช้เวลานานถึง 10 ปี หรือสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อบางรายอาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น
  • ระยะโรคเอดส์ เป็นระยะสุดท้ายของ การติดเชื้อเอชไอวี และได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์ ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่แข็งแรงนั้นมีปริมาณเซลล์ CD4 (เม็ดเลือดขาว) อยู่ระหว่าง 500 – 1,600 หากในขณะนั้นผู้ป่วยโรคเอดส์มีเซลล์ CD4 ต่ำกว่า 200 ถึงจุดนี้ระบบภูมิคุ้มกันได้ถูกทำลายไปอย่างรุนแรงซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อฉวยโอกาสได้ โดยเกิดจากเชื้อโรคที่ไม่ก่อให้เกิดโรคในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่แข็งแรง แต่จะเกิดโรคกับ อาการที่จะเกิดขึ้นในระยะเอดส์ ได้แก่ มีไข้สูง หนาวสั่นและเหงื่อออกในตอนกลางคืน มีผื่นขึ้น มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ และไอเรื้อรัง น้ำหนักลดอย่างรุนแรง มีปื้นขาวในปาก มีแผลที่อวัยวะเพศ อ่อนเพลียเป็นประจำ เป็นโรคปอดอักเสบ มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ

ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอ ไม่ว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีจะมีปริมาณของเซลล์ CD4 เท่าใด ติดเชื้อฉวยหนึ่งโรค สองโรค หรือมากกว่านั้น ก็ถือว่าผู้ป่วยนั้นเป็น โรคเอดส์

จริงๆ แล้ว ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหากรู้ตัวเร็ว ว่าตนเองติดเชื้อจะสามาถรักษาได้ทัน โดยที่อาจไม่ได้รักษาให้หายขาด เพราะในปัจจุบันนี้ ยังไม่มียาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มียา ที่สามารถช่วยให้อาการ ของโรคเอชไอวีไม่แสดงอาการออกมาได้ ยาตัวนี้ เป็นยาที่เรารู้จักกันในชื่อ ยาต้านไวรัส ผู้ป่วยทานแล้ว ยาจะช่วยยับยั้ง การแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวีให้ไม่เพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างปกติแล้ว ผู้ป่วยยังมีอายุขัยที่ยืนยาวใกล้เคียงกับคนปกติด้วย

ดังนั้นแล้วหากต้อง การตรวจหาเชื้อเอชไอวี เพื่อความสบายใจ ปัจจุบันก็มีชุดตรวจเอชไอวีที่สามารถตรวจด้วยตัวเองได้ แนะนำให้เลือกซื้อชุดตรวจที่มีความปลอดภัย และแม่นยำ โดยผ่านมาตรฐานสูงสุดในระดับสากล หรือสามารถไปตรวจได้ตามคลินิกนิรนามต่าง ๆ และโรงพยาบาลรัฐทั่วไปที่มีบริการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีฟรี

 

ผลเลือด Positive คืออะไร แปลว่าอะไร

ผลเลือด Positive คืออะไร

ผลเลือด Positive คืออะไร
โรคติดเชื้อเอชไอวี สามารถติดต่อได้ ทางเพศสัมพันธ์ ที่ไม่มีการป้องกัน สามารถส่งต่อได้จากแม่สู่ลูก และจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เราไม่สามารถทราบได้เลยว่า ใครบ้างที่ติดเชื้อเอชไอวี หากคนๆ นั้น ไม่ได้บอกเราโดยตรง เพราะผลตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีนั้น ถือเป็นความลับส่วนบุคคล เปิดเผยไม่ได้ หากไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของผลเลือด ในขณะที่ บางคนก็ไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ตนเองนั้นติดเชื้อเอชไอวีไปแล้ว และยังมีเพศสัมพันธ์กับคนรัก หรือคนอื่นๆ ต่อไป ซึ่งหากไม่ได้ป้องกัน หรือมีกิจกรรมอื่นที่สุ่มเสี่ยง อย่างเช่น Oral sex ก็อาจทำให้ มีการแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้

ในกรณี ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่มีการดูแลรักษา อย่างถูกต้องจากแพทย์ และมีวินัย ในการรับประทานยา ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ในกรณีนี้ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงออกมา ให้เราทราบว่าเขาเป็นผู้ติดเชื้อ อีกทั้งผู้ป่วยนั้นจะสามารถดำรงชีวิตได้ อย่างปกติสุข มีอายขัยเทียบเท่ากับคนปกติ

ดังนั้น หากคุณมีความเสี่ยง ที่จะติดเชื้อเอชไอวี ให้คุณรีบทำการตรวจเลือดโดยเร็ว เพื่อที่จะ วางแผนการรักษาได้ถูกทาง และไม่เข้าสู่สภาวะเอดส์ ซึ่งถ้าหากผลตรวจออกมาแล้ว พบว่าคุณไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี ก็จะทำให้คุณ มีความสบายใจมากขึ้น

การตรวจเอชไอวีในปัจจุบันมีอยู่ 4 แบบ คือ
1. ตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อเอชไอวี (Anti-HIV)
2. ตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเอชไอวี (p24 antigen)
3. ตรวจแบบ NAT
4. ตรวจหา Anti-HIV และตรวจหา p24 antigen ในคราวเดียว
ซึ่งความแตกต่างของแต่ละแบบ ก็คือ เงื่อนไขของระยะเวลา ที่สามารถตรวจได้ โดยช่วงระยะเวลา ที่สามารถตรวจได้ จะอยู่ที่ประมาณ 7-21 วัน ขึ้นไปนั่นเอง ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ทุกคนสามารถซื้อ ชุดตรวจเอชไอวีมาตรวจด้วยตัวเองได้แล้ว ซึ่งชุดตรวจนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจแบบ Anti-HIV โดยเป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น รู้ผลภายใน 10-20 นาที หากผลออกมาพบว่าติดเชื้อเอชไอวี ให้ผู้ตรวจไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อยืนยันผลอีกครั้ง

การแสดงผลเลือดจากการตรวจหาเชื้อเอชไอวี
ผลเลือด Positive คืออะไร ? จากที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จะพบว่าการตรวจเอชไอวีมีอยู่ 4 แบบ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ตรวจด้วยตนเองหรือตรวจที่สถานพยาบาล ผลการตรวจจะแสดงในรูปแบบดังต่อไปนี้เสมอ
1. Negative (ผลเลือดลบ) หมายถึงไม่ได้ติดเชื้อ HIV ในบางครั้งอาจมีการแสดงผลว่า Non-Reactive ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน คือ ไม่ได้ติดเชื้อ ไม่พบการติดเชื้อ อาจเรียกผลเลือดว่า HIV-Negative
2. Positive (ผลเลือดบวก) หมายถึงพบการติดเชื้อ HIV ในบางครั้งอาจมีการแสดงผลว่า Reactive ซึ่งมีความหมายเหมือนกัน คือ ติดเชื้อ พบการติดเชื้อ อาจเรียกผลเลือดว่า HIV-Positive

การวินิจฉัย การตรวจหาเชื้อเอชไอวี จะเป็นการตรวจเลือดว่า มีเชื้อเอชไอวีอยู่หรือไม่ จะเรียกว่าเลือดบวก ต่อเมื่อตรวจพบไวรัสเอชไอวี “HIV POSITIVE” เท่ากับว่า ติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการประเมิน หรือคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อเตรียมการวางแผนในการรักษา และความเสี่ยง ในการติดเชื้อฉวยโอกาสอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยผลเลือด เป็น Positive หรือ Negative ไม่ได้ใช้แค่ สำหรับการตรวจเอชไอวี มีการใช้การวินิจฉัยนี้ กับการตรวจเลือดหาโรคอื่นๆ อีกด้วย (ไม่ได้หมายความว่า ตรวจหาเอชไอวีจะสามารถบอกโรคอื่นได้) ดังนั้น หากคุณตรวจโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่เอชไอวี แล้วคุณหมอบอกว่า เลือดของคนเป็น Positive ก็อย่าพึ่งตกใจ คุณไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวี แต่คุณป่วยเป็นโรคที่คุณไปทำการตรวจนั้น

การตรวจเลือดหา เชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันอาจจะ มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น กว่าเมื่อก่อนมาก มีผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่กล้าไปตรวจที่ สถานพยาบาล และเข้ารับการรักษา แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมาก ที่ไม่กล้าไปตรวจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดี เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ทาง อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยา) ได้ปลดล็อก ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเอง ให้ประชาชนสามารถหาซื้อมาตรวจด้วยตัวเองได้แล้ว ในเมื่อมันหาตรวจได้ง่ายขึ้น โดยที่คุณไปไม่ต้องเสี่ยงไปตรวจที่โรงพยาบาลเลย ให้ทราบผลเลือดเบื้องต้นก่อนว่าบวกหรือลบ หากเป็นบวก จึงค่อยไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

 

หากอยากมั่นใจในทุกครั้งที่ตรวจ โปรดซื้อชุดตรวจเอชไอวีกับร้านที่น่าเชื่อถือและมีมาตรฐานรับรอง

สนใจซื้อชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง Click เพื่อ Add LINE สอบถามได้เลยค่ะ

เป็นแผลแบบไหน ถึงติดเอดส์ได้

เป็นแผลแบบไหน ถึงติดเอดส์ได้
เป็นแผลแบบไหน ถึงติดเอดส์ได้ ปัจจุบันเอชไอวี หรือ เอดส์ เป็น การติดเชื้อไวรัส ในร่างกาย ซึ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายบกพร่อง จนนำไปสู่ ภาวะการเป็นเอดส์ โดยปกติแล้ว เชื้อเอชไอวี มักจะอาศัยอยู่ตามร่างกาย ของสิ่งมีชีวิต เพื่อที่จะได้มีชีวิตรอด เพราะถ้าหาก เชื้อได้ออกมา สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมกับธรรมชาติ ก็มักจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หลักการ ของการติดเชื้อผ่านทางเลือด ได้นั้น มีหลากหลายช่องทาง จากการให้เลือด จากแม่สู่ลูก จากการสัมผัส และอื่นๆ

เอชไอวี มาจากภาษาอังกฤษคำว่า HIV Human Immunodeficiency Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายโดยมุ่งทำลายเม็ดเลือดขาว ที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ร่างกายของเราเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ ภูมิคุ้มกันของเราจะต่ำลงเรื่อยๆ มีอาการเจ็บป่วยได้ง่ายจากเชื้อฉวยโอกาส และป่วยเป็นเอดส์

เอดส์ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า AIDS มาจากคำว่า Acquired Immuno Deficiency Syndrome อาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง

หรือเรียกได้ว่าโรคเอดส์ คือ ระยะสุดท้ายแล้ว ของการติดเชื้อเอชไอวี เมื่อร่างกาย ไม่สามารถต่อสู้ กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกายได้ อีกต่อไปแล้ว โรคต่าง ๆ ก็จะมาเยือน ไม่ว่าจะเป็น วัณโรค ท้องร่วง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มะเร็งต่าง ๆ ฯลฯ

เชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์ สามารถติดต่อกันได้ใน 3 ทางหลัก ๆ คือ
1.สามารถติดต่อกัน ได้ผ่านทางเลือด เช่น การถ่ายเลือดของผู้ป่วย การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และส่วนน้อยที่จะติดเชื้อ ก็คือการที่มีส่วนใด ส่วนหนึ่ง ในร่างกายมีบาดแผลแล้ว ไปสัมผัสกับเลือด ของผู้ติดเชื้อโดยตรง
2.สามารถ ติดต่อกัน ผ่านทางร่วมรักทางเพศ หรือการมีเพศสัมพันธ์ทั้ง ชายหญิง ชายกับชาย โดยเฉพาะ การมีเซ็กส์ผ่าน ทางทวารหนัก ทั้งนี้ อาจรวมไปถึงการทำ Oral sex ให้กับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี หรือ เอดส์อยู่
3.สามารถติดต่อ ผ่านทางแม่สู่ลูก ส่วนใหญ่แล้ว แม่ที่มีการติดเชื้อเอชไอวี ลูกจะสามารถติดได้ ในระหว่างทำการคลอด ส่วนน้อย ที่จะติดต่อได้ ในระหว่างที่เด็ก อยู่ในครรภ์มารดา และระหว่างที่เด็กดูดนมแม่

ทุกวันนี้อาจมีหลาย ๆ คนที่ติดเชื้อเอชไอวีจากแม่ หรือจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และอาจจะติดได้ผ่านทางคนรักของตนเอง แต่ทว่าเชื้อเอชไอวีไม่ได้ติดกันง่าย ๆ อย่างที่ใครหลาย ๆ คนคิด เพราะไม่ใช่ว่าการที่เข้าไปยุ่งหรือไปใกล้ชิด กับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวีแล้ว จะสามารถติดต่อได้เลย ขึ้นอยู่กับว่า คุณมีความเสี่ยงได้รับ สิ่งเหล่านี้มาหรือเปล่า อย่างเช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำจากช่องคลอด บาดแผล และสารคัดหลั่ง

โดยจะต้องพิจารณาว่าคุณได้รับเชื้อจากสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาโดยตรงกับผู้ติดเชื้อเลย หรือไม่ เช่น จากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน Oral sex ขณะที่คุณเองมีแผลอยู่ในปาก สิ่งที่กล่าวมาของเขาสัมผัสกับบาดแผลคุณโดยตรง นอกจากนี้การส่งต่อจากเลือดสู่เลือดจะมีความเสี่ยงมากที่สุด ขณะที่การรับจากบาดแผลก็มีความเสี่ยงแต่น้อย

เพราะบางครั้งร่างกายก็จะสามารถกำจัดเชื้อได้ แต่อย่างไรเราแนะนำว่าหากคุณไม่มั่นใจขอให้ตรวจเลือดจะดีกว่า หรือรับยาต้านก็จะช่วยให้อุ่นใจมากขึ้น

สรุปแล้ว เป็นแผลแบบไหน ถึงติดเอดส์ได้ แผลที่สามารถติดเชื้อได้ นั้นส่วนใหญ่จะเป็น แผลที่เกิดจาก เยื่อบุอ่อนของร่างกาย เช่น แผลในปาก แผลตรงอวัยวะเพศ และแผลเกิดขึ้นตรงทวารหนัก หรือถ้าหากใครคนใดที่มีแผลอยู่ตรงนิ้วมือและนำนิ้วไปสอดใส่ในช่องคลอดของฝ่ายหญิง ก็มีโอกาสน้อยมาก ๆ ต่อการเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้

แต่ถ้าหากเป็นแผลที่นิ้วแล้ว ไปสัมผัสกับเลือดของผู้มีเชื้อเอชไอวี ก็มีโอกาสเสี่ยง ต่อการติดเชื้อได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ถ้าหากยังไม่แน่ใจหรือยัง เป็นกังวลอยู่ว่าแผลลักษณะนี้ มีความเสี่ยงหรือไม่ แนะนำให้ไปปรึกษากับแพทย์ใกล้บ้าน ประเมินความเสี่ยง หรือตรวจเลือด หากเขินอายก็ซื้ อชุดตรวจเอดส์ มาตรวจเองได้ที่บ้าน อย่างไรก็ตาม เชื้อเอชไอวี หรือโรคเอดส์ มันอาจไม่ได้น่ากลัว หรือน่ารังเกียจ อย่างที่คุณคิด จึงอยากให้หลาย ๆ คน มองผู้ป่วย ที่ติดเชื้อไปในทางที่ดี และให้กำลังใจเขามากกว่า

ชุดตรวจเอดส์ ซื้อที่ไหน ?

ชุดตรวจเอดส์ ซื้อที่ไหน

ชุดตรวจเอดส์ ซื้อที่ไหน

การตรวจเอดส์ ในผู้ที่มีความเสี่ยง กลายเป็นประเด็นที่ในไทยนั้นยังมีความกลัวไม่กล้าที่จะตรวจ เพราะว่ากลัวผล หรืออายที่จะไปตรวจตามสถานพยาบาล ไม่ทราบว่า ชุดตรวจเอดส์ ซื้อที่ไหน ทำให้ปัญหาผู้ติดเชื้อเอชไอวีในไทยเพิ่มสูงขึ้น และผู้ป่วยที่มีอาการทรุดเข้าสู่สภาวะเอดส์ก็มีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากกว่าจะทราบว่าติดเชื้อเอชไอวี ส่วนใหญ่ก็จะมีอาการที่ค่อนข้างหนักมากแล้ว การรักษาอาการให้คงตัวและสามารถใช้ชีวิตปกติได้จึงเป็นไปได้ยาก ซึ่งปัญหานี้แท้จริงแล้วสามารถแก้ไขได้ง่ายๆ เพียงแค่ผู้มีความเสี่ยงนั้นกล้าที่จะตรวจ หากผลเลือดออกมาแล้วเป็นลบ ผู้ตรวจเองก็จะได้มีความสบายใจมากขึ้น และรู้จักป้องกันเมื่อมีเพศสัมพันธ์ แต่หากผลเลือดออกมาเป็นบวก ก็รีบเข้ารักษากับทางสถานพยาบาลต่อไปได้ เพื่อเป็นการแก้ปัญหานี้ อย. หรือสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จึงทำการปลดล็อก การตรวจ HIV ด้วยตัวเอง

ภายหลังจากที่ อย.  ได้ปลดล็อคให้คนไทยทุกคน สามารถเข้าถึง ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง ได้แล้ว ซึ่งสามารถตรวจได้เองและทราบผลได้ในทันที ใช้เวลาไม่นาน ตรวจได้เองที่บ้านรวมทั้งได้ผลแม่นยำสูงไม่มีความแตกต่างกับการไปตรวจที่สถานพยาบาลต่างๆ โดยวัตถุประสงค์ของ อย. นั้น ก็เพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวี และให้ผู้มีความเสี่ยงทราบผลเร็วขึ้นเพื่อนำไปสู่การดูแลและรักษาป้องกันการแพร่เชื้อในทันที

สิ่งที่ ชุดตรวจคัดกรองเอชไอวี เบื้องต้น หรือ ชุดตรวจเอดส์ ด้วยตัวเอง ที่ดี ควรมี ได้แก่

1. การแสดงฉลาก ข้อมูล ที่เป็นส่วนสำคัญ ให้แก่ ผู้ซื้อได้รับทราบ

2. วิธีการใช้งาน ชุดตรวจเอชไอวี

3. วิธีการเก็บรักษา ข้อจำกัดของชุดตรวจ

4. คำเตือนต่าง ๆ รวมไปถึงข้อควรระวัง

5. การให้ คำปรึกษา แนะนำความรู้ ที่เกี่ยวข้องกับระยะการตรวจหา การติดเชื้อเอชไอวี

6. ช่องทาง การให้ข้อมูล สนับสนุน และ เว็บไซต์ ที่ให้ข้อมูล เกี่ยวกับ การตรวจหาเชื้อ

7. การสาธิต วิธีการตรวจ และ การแปลผล ซึ่งต้องแสดงให้เห็น เป็นภาพอธิบาย รายละเอียด ชัดเจนที่สุด

ชุดตรวจเอดส์ ซื้อที่ไหน ชุดตรวจเอดส์ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือในอินเทอร์เน็ต โดยพิจารณาจากร้านที่เชื่อถือและไว้ใจได้ ผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณภาพ มีความแม่นยำสูง ได้รับอนุญาตจาก อย. มีรายละเอียดการใช้งานอย่างชัดเจน โดยที่สามารถหาซื้อมาตรวจได้นั้น จะเป็นเพียง การตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตัวเอง เท่านั้น หากตรวจพบว่าติดเชื้อต้องเข้ารับการตรวจจากสถานพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง หรือหากผลปรากฏว่าไม่มีเชื้อต้องพิจารณาว่าอยู่ในระยะ Window period รึเปล่า การตรวจคัดกรองเชื้อควรตรวจที่ระยะเวลา 30 วันหลังจากได้รับความเสี่ยง ผลที่ได้จะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

 

ทั้งนี้ ผู้ที่จะได้รับ ใบอนุญาต ที่จะทำ การผลิต หรือ นำเข้า ชุดตรวจเอดส์นั้น จะต้องมีการ จัดทำเอกสาร ที่ผู้ถูกตรวจควรรู้ การตรวจ หรือ ภายหลังทราบผล การตรวจ เพื่อให้กระบวนการ ให้คำปรึกษา มีความชัดเจน มากที่สุด ตลอดจน ถึงการเชื่อมเข้าสู่ ระบบบริการ การตรวจวินิจฉัย ยืนยัน รักษาและป้องกัน  ในการจัดทำ ข้อมูลดังกล่าว ต้องผ่าน การตรวจสอบจาก อย. โดยอาจจะ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ที่ได้ประกาศ ไว้ตามที่กำหนด การที่ให้ ประชาชน ได้เข้าถึง การตรวจ การติดเชื้อเอชไอวี ด้วยตัวเองได้นั้น เป็นการเพิ่มทางเลือก ในการตรวจคัดกรอง ให้ผู้มีความเสี่ยง สามารถตรวจ ด้วยตัวเองได้เลย แทนที่จะต้อง เสียเวลา ไปตรวจที่ สถานพยาบาล ซึ่งผลอาจจะ บวก หรือ ลบ ก็ได้ นอกจากนี้ ยังช่วยให้ ประชาชน ทราบถึง สถานะการติดเชื้อเอชไอวี ตั้งแต่ ระยะเริ่มแรก เพื่อทำให้ มีโอกาสป้องกัน การถ่ายทอด เชื้อเอชไอวี ไปยังบุคคลอื่นได้ หรือ แม้กระทั่ง คน หรือ บุคคล ที่ใช้ชีวิต อยู่ร่วมกัน กับผู้ป่วย ที่ติดเชื้อ นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญ คือ ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี จะได้ตรวจ เพื่อรับรู้ ถึงสถานการณ์ การติดเชื้อได้เร็ว และสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา ซึ่งอาจจะ เป็นประโยชน์ แก่บุคคล ที่มีความเสี่ยง และบุคคลอื่น ๆ ทั่วไป

ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม

 

คำถามที่ว่า  ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม  การรักษา ที่ทำให้ หายขาดได้นั้น ยังคงอยู่ ในระหว่างการศึกษา พัฒนา และ วิจัย ภายใต้หน่วยงานแพทย์ ถึงแม้ว่า จะยังไม่มีผลการศึกษา ออกมาอย่างแน่ชัด แต่ข่าวดี คือ ในปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี ที่หายขาดแล้ว 1 คน ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ที่ติดเชื้อเอชไอวี มานาน การรักษา

ผู้ป่วย ติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันการรักษา ยังคงยึดหลักการเดิม คือ การให้ทานยา เพื่อจะยับยั้งการแบ่งตัว ของเชื้อเอชไอวี ซึ่งเมื่อรับประทานยา เข้าไปแล้ว จะช่วยให้ ผู้ป่วยสามารถ ใช้ชีวิตร่วมกับผู้คน ในสังคมได้เหมือนกับ คนปกติทั่วไป

และ สามารถ มีชีวิต อยู่ต่อได้ เหมือนกับ อายุขัย ของคนปกติ  การศึกษาวิจัย การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ในปัจจุบันนั้น กำลัง มีการศึกษาอยู่ 3 วิธี คือ

– การ ปลูกถ่ายไขกระดูก

– การเริ่ม กินยา ต้านเชื้อเอชไอวี อย่างเร็วภายใน 2 สัปดาห์แรก ก่อนที่ ผลการตรวจ anti – HIV จะเป็นบวก

– การรักษา ด้วยวิธีอื่น ๆ แต่การศึกษาวิธีอื่น ๆ นี้ ยังได้ผลไม่ดี เท่าที่ควร

ทั้งนี้ การป้องกัน การติดเชื้อเอชไอวี ก็ยังคงเป็น สิ่งที่ดีที่สุด ที่จะทำให้คุณ ห่างไกลจากโรคนี้ได้ และ นอกจากนี้ หากคุณ เป็นผู้ที่มี พฤติกรรมสุ่มเสี่ยง ติดเชื้อ หรือ สงสัยว่า ตนเองได้รับเชื้อ เอชไอวีมา

การที่จะสามารถ รู้ได้ชัดเจน ว่าสรุปแล้ว เราติดเชื้อ หรือไม่

ก็คงมีทางเดียว คือ ควรไป ตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งถ้าหาก ไปตรวจแล้วพบว่ามี การติดเชื้อเอชไอวี จริงก็จะได้สามารถ เข้ารับการรักษาทันที ที่กล่าวมา ทั้งหมดนี้

เนื่องจากปัญหาในปัจจุบันที่พบอยู่บ่อย ๆ ก็คือ ติดเชื้อแล้วไม่รู้ตัว และ ส่วนใหญ่ ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ มักจะมีอาการหนักมากแล้ว หรือ อาจจะมี ภาวะแทรกซ้อน ที่เป็นอันตราย และ ยากต่อการรักษา

ในการรับประทาน ยาต้านไวรัส นั้น จำเป็นต้องมีวินัยที่ดี ในการกินยา ต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอ และ ตรงต่อเวลา ถ้าหากว่าลืม หรือ เวลาคลาดเคลื่อนไป นึกขึ้นได้ต้องกินยาในทันที และ เริ่มนับเวลาใหม่ หลังจากกินยา  ดังนั้น หากมีวินัย ในการกินยาต้านไวรัส อย่างสม่ำเสมอ และ ตรงเวลาแล้ว ก็อาจลดโอกาส ในการเสี่ยง ที่จะติดเชื้อเอชไอวีได้

ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม

จาก ที่กล่าวมา สามารถ สรุป ได้ว่า การรักษา การติดเชื้อเอชไอวี ให้หายขาดได้นั้น ในปัจจุบันยัง ไม่มีผลการยืนยัน ว่ามีวิธี ที่สามารรักษา ให้หายขาดได้ ยังคง เป็นสิ่งที่ ทางการแพทย์ ทั่วโลก กำลังศึกษา และ คิดค้นกันอยู่ อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น ตอนนี้สิ่งที่สำคัญ และควรทำ มากที่สุด คือ หลีกเลี่ยง พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ป้องกันทุกครั้ง เมื่อมีเพศสัมพันธ์ ดูแลตนเอง สำรวจตนเอง สม่ำเสมอ ถ้าไม่มั่นใจก็ตรวจ เพราะจะได้ รู้เท่าทันตนเอง รู้เท่าทันโรค และเพื่อที่จะ เข้ารับ การรักษาได้ โดยเร็ว ก่อนเข้าสู่ภาวะเอดส์

 

 

-ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก-

คณะ แพทยศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

สรุปแล้ว

น้ำลายคนเป็นเอดส์โดนแผล เสี่ยงไหม?

น้ำลายคนเป็นเอดส์โดนแผล เสี่ยงไหม

การมี โอกาสในการติดเชื้อเอชไอวี จากน้ำลายนั้น ถือว่า มีโอกาสน้อยมาก ๆ หรือ อาจจะ ไม่มีเลย ก็ว่าได้ ดังนั้น อย่ากังวลไปเลย แต่ ถ้าหากว่ามีแผล  ในปากเกิดขึ้น หรือ มีเลือดออก อาจจะส่งผล ให้เกิด ความเสี่ยง มากขึ้น ก็เป็นได้ โดยทั่วไปแล้วนั้น เราจะสามารถ ใช้ชีวิต อยู่ร่วม กับผู้ป่วยเอชไอวี ได้ตามปกติ โดยที่ไม่ต้อง วิตกกังวล เช่น การกอด การจับมือ หรือ แม้กระทั่ง การจูบ แบบปิดปาก กับผู้ ติดเชื้อเอชไอวี เป็นต้น เราไปดูกัน สิว่าแท้จริงแล้ว น้ำลายคนเป็นเอดส์โดนแผล อยู่ในปัจจัย ที่ทำให้ เราสามารถ ติดเชื้อเอชไอวี ได้หรือเปล่า

ปัจจัยสำคัญที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่
1. การมีเพศสัมพันธ์ หากการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอดหรือทางทวารหนักโดยที่ไม่ได้ป้องกัน และหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง อาจมีความเสี่ยงสูงที่คู่นอนจะได้รับเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายได้ จากของเหลวในช่องคลอด น้ำอสุจิ หรือ อาจเกิดบาดแผลและมีเลือดออกจากการร่วมเพศ รวมไปถึงการมีกิจกรรมทางเพศด้วยการใช้ปาก โดยความเสี่ยงที่อาจจะได้รับเชื้อเอชไอวีอาจขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่อยู่ในสารด้วย โดยปกติแล้วการมีกิจกรรมทางเพศด้วยการใช้ปากนั้นจะมีความเสี่ยงต่ำที่จะติดเชื้อผ่านทางน้ำลายของอีกฝ่ายได้
2. การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีอาจจะทำให้ได้รับเชื้อจากเลือดที่อยู่ในอุปกรณ์นั้น ๆ โดยที่ไม่ได้ทำความสะอาดก่อน
3. การรับเลือด

โดยหลัก ๆ มี 3 ทาง ที่สามารถติดเชื้อเอชไอวีได้
– เลือดและการถ่ายเลือดรวมไปถึงการใช้เข็มร่วมกันกับผู้ป่วย หรือเครื่องมือที่ไม่ได้ ทำความสะอาดมีคราบเลือดปนเปื้อนอยู่ มีบาดแผลแล้วไปสัมผัสกับเลือด หรือน้ำเหลืองของผู้มีเชื้อ
– ทางการร่วมเพศ การร่วมเพศระหว่างชายหญิง, ชายกับชาย, โดยร่วมเพศทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก รวมทั้ง Oral sex โดยเฉพาะการใช้ปากกับอวัยวะเพศชายที่มีเชื้อเอชไอวี
– จากแม่สู่ลูก ส่วนใหญ่แล้วอาจติดเชื้อระหว่างการทำคลอด และส่วนน้อยที่ติดเชื้ออยู่ในระหว่างการตั้งครรภ์และระหว่างที่แม่ให้นมลูก เป็นต้น

จากที่ กล่าวมานั้น กรณี ที่เราจะสัมผัส น้ำลาย ของผู้เป็นเอดส์ หรือ มีเชื้อเอชไอวี โดยปกติแล้ว คงมีเพียง 3 กรณี คือ จูบ การออรัลเซ็กส์ และการเล้าโลม โดยลิ้นนั่นเอง ดังนั้น คำถามที่ว่า น้ำลายคนเป็นเอดส์ โดนแผลเสี่ยงไหม ก็คง ต้องพิจารณาด้วย เรามีแผล ที่ส่วนใด ส่วนหนึ่ง ตามตำแหน่ง ที่จะมี โอกาสสัมผัส ก็มีความเป็นไปได้ ที่เราจะเสี่ยง แต่นับว่าน้อย

ทาง ที่ดีที่สุด คือ สำรวจร่างกาย ตนเอง สักนิด ว่า เป็นแผลอะไร หรือไม่ และพยายาม หลีกเลี่ยง บริเวณนั้น ที่สำคัญ หากมีเพศสัมพันธ์ ควรป้องกัน อย่างเคร่งครัด แต่ถ้าหาก ว่าเผลอทำพฤติกรรม เสี่ยงไปแล้ว ล่ะก็ แอดแนะนำว่า ตรวจให้รู้ผล ไปเลยจะดีกว่า เดี๋ยวนี้ การตรวจเอชไอวีนั้น สามารถทำได้ สะดวกมากขึ้น ทั้งไปตรวจ ที่สถานพยาบาล หรือ หากคุณ เสี่ยงมามากกว่า 21 วันแล้ว ก็สามารถ สั่งซื้อ ชุดตรวจเอชไอวีจากอินเตอร์เน็ต มาตรวจได้ค่ะ เพราะในปัจจุบัน ชุดตรวจเหล่านี้ มีมาตรฐาน มากขึ้น สามารถตรวจได้ แม่นยำ และรู้ผลเร็ว  ถ้าผลเป็นบวก คือ มีโอกาสติดเชื้อ ก็ให้ไป ตรวจยืนยันผล อีกครั้ง ที่สถานพยาบาล แต่ถ้าหาก เป็นลบ ก็สบายใจได้เลย สุดท้ายนี้ แอดขอฝาก ข้อความไว้ เพื่อเตือนใจ ทุกคนที่กำลัง อ่านอยู่ว่า “เลี่ยง พฤติกรรมเสี่ยง ป้องกันเสมอ ไม่มั่นใจก็ตรวจ” แค่นี้ คุณก็รู้เท่าทัน เอชไอวีแล้วค่ะ

 

 

-ขอบคุณข้อมูลจาก กองบรรณาธิการ HONESTDOCS-

ใครเคยสั่งชุดตรวจเอดส์ในอินเตอร์เน็ตบ้าง?

 

ใครเคยสั่งชุดตรวจเอดส์ในอินเตอร์เน็ตบ้าง?

จากการที่ สำนักงาน คณะกรรมการอาหาร และยา (อย.) ได้อนุญาตให้ สามารถใช้ ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ได้ โดยที่ต้อง ได้รับใบอนุญาต ขาย ผลิต หรือ นำเข้าจากอย.ก่อนนั้น ทำให้ ปัจจุบันมี ชุดตรวจเอชไอวี ถูกนำมาขาย ตามอินเตอร์เน็ต มากขึ้น และพูดได้เลยว่า ส่วนใหญ่ร้านค้า เหล่านั้น ยังไม่มี ใบอนุญาตขาย ผลิต หรือนำเข้าเลย ดังนั้น หากผู้ที่มีความเสี่ยงและสนใจที่จะตรวจควรพิจารณาเลือกร้านค้าที่ดีของมีคุณภาพ โดยควรที่จะขอดูเลขอย.ของชุดตรวจก่อนเสมอ

จากที่ ชุดตรวจเอชไอวี ด้วยตนเองในปัจจุบัน มีความแม่นยำสูง ถึงแม้ จะสั่งตามอินเตอร์เน็ต ก็จะควรคำนึงถึง ความปลอดภัย และคุณภาพของชุดตรวจ ในการเลือกซื้อ สินค้า อีกด้วย จากผู้ที่เคยสั่ซื้อชุดตรวจเอชไอวีในอินเตอร์เน็ต ได้พูดถึง เกี่ยวกับ ชุดตรวจเอชไว้

โดยมีใจความ ดังต่อไปนี้ คือ อย่าไปกังวล ว่าการซื้อผลิตภัณฑ์ ชุดตรวจคัดกรอง การติดเชื้อเอชไอวี ด้วยตัวเอง นั้น เป็นสิ่งที่ น่าอาย ชุดตรวจเอดส์ ที่ปลอดภัย หรือมีความแม่นยำสูง จะต้องแสดง ฉลากข้อมูล ส่วนสำคัญ ให้ผู้บริโภครับทราบ

เช่น ข้อบ่งใช้ วิธีการใช้ วิธีการเก็บรักษา คำเตือน ข้อควรระวัง เป็นต้น ทั้งนี้ชุดตรวจเอชไอวี ที่ได้มาตรฐาน จะต้องมีเลขอย.

ทั้งนี้ ผู้จะใช้ ชุดตรวจเอชไอวี ควรจะมีความรู้ เกี่ยวกับระยะ การตรวจหา การติดเชื้อ ของชุดตรวจนั้น ๆ ประเมินว่า ตัวเอง มีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี หรือไม่ นานเท่าไหร่แล้ว สามารถตรวจได้ หรือยัง

ซึ่งผู้ขาย จะมีคู่มือ แนะนำ การใช้งาน และรายละเอียด ที่ชัดเจนอยู่แล้ว และมี ข้อความว่า ใช้ตรวจ คัดกรองเบื้องต้น ด้วยตนเอง เท่านั้น หากตรวจพบ มีปฏิกิริยา (reactive) ต้องได้รับ การตรวจยืนยัน การวินิจฉัย การติดเชื้อเอชไอวีจาก หน่วยบริการที่ สามารถตรวจยืนยัน วินิจฉัย ได้  ทั้งนี้ ผู้ขาย ที่ดีมักจะ แนะนำเรื่อง ระยะเวลาหลังจาก มีความเสี่ยงแล้ว ที่สามารถตรวจได้ การแปลผล ให้ผู้ตรวจรู้เสมอ ซึ่งสำคัญที่สุด หากคุณซื้อ ชุดตรวจเอชไอวี มาจากอินเตอร์เน็ตและ พบว่าเป็นผลบวก คือ มีโอกาสพบเชื้อ คุณควร ที่จะรีบไปตรวจ ยืนยันอีกครั้งที่ หน่วยบริการ เพื่อยืนยัน ว่าคุณติดเชื้อ หรือไม่ อย่าลังเล เพราะว่า เชื้อเอชไอวีใน ระยะแรกนั้น หาก ผู้ป่วยเข้ารับ การรักษาสามารถ ใช้ชีวิตได้ อย่างคุณปกติ

ชุดตรวจ เดี๋ยวนี้มีความ แม่นยำสูงมาก ในระดับหนึ่ง หากคุณ วิตกกังวล จนเกินไป พอมี อะไรเกิดขึ้น นิดหน่อย คุณก็กลัว ว่ามันเป็นผลจาก เชื้อหรือเปล่า ซึ่งเป็น เรื่องที่คนที่เสี่ยง มาหลายคนเป็น ชุดตรวจ ที่ได้มาตรฐาน และ เป็นที่ยอมรับ หรือ อนุญาตให้ขาย ในประเทศ ก็มีอยู่มาก แต่ด้วย ที่สมัยนี้มี ชุดตรวจเถื่อน ออกมาเยอะมาก

ขาย ในออนไลน์เป็น ส่วนใหญ่จึง ควรเลือกซื้อ ชุดตรวจที่ได้ มาตรฐาน และ ควรจะเลือกซื้อ กับผู้ที่ ให้คำปรึกษาได้ ทั้งนี้ ความน่าเชื่อถือ เกี่ยวกับ ชุดตรวจที่ ซื้อมาตรวจเอง

ควรจะมีค่า ความแม่นยำ ความไวสูง ๆ และเป็น ชุดตรวจ ที่ได้มาตรฐาน

 

หากใครไม่ทราบว่าจะซื้อ ชุดตรวจHIV ที่ไหน แนะนำ ยี่ห้อ อินสติ หรือ Insti เป็นชุดตรวจยี่ห้อแรก ในขณะนี้ที่ผ่านมาตรฐานอย.ไทย ซึ่งผลิตได้มาตรฐานจากประเทศแคนาดา มีมาตรฐานทั้ง Health Canada, WHO และ CE สามารถหาซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้ง Shopee, Lazada, JD Central,  Line My Shop หรือ แอดไลน์โดยตรงที่ @insti หรืออีกช่องทางคือสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ได้โดยตรงที่ www.thailandhivtest.com

อินสติชุดตรวHIV ด้วยตัวเอง ผ่านอย.ไทย นำเข้าถูกต้องตามกฎหมาย มีจำหน่ายที่ร้านขายยาทั่วประเทศ

 

วิธี อยู่ ร่วม กับ คน ติด เชื้อ เอดส์ ควรปฏิบัติตนอย่างไร

วิธีอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี

วิธี อยู่ ร่วม กับ คน ติด เชื้อ เอดส์ ควรปฏิบัติตนอย่างไร

หากเรา มีความจำเป็น ต้องอยู่ร่วมกับ ผู้ที่ติดเชื้อ HIV โดยเรา ไม่ต้องกังวล ว่า เราจะติดเชื้อไวรัส HIV รึเปล่า แต่ถ้า หากเราทราบถึง วิธี หรือแนวทาง การป้องกัน หรือการปฏิบัติ ต่อผู้ป่วยโรคเอดส์ ได้อย่างถูกต้อง โดยเริ่มศึกษา ข้อมูลที่เกี่ยวกับ โรคเอดส์ ทั้งสาเหตุ อาการ การติดต่อ และ การรักษา อย่างถูกวิธี

เพื่อช่วยให้ ดูแลผู้ป่วย อย่างเหมาะสม และมีคุณภาพ ชีวิตจิตใจที่ดีขึ้น หากผู้ที่จำเป็น ต้องอาศัย อยู่กับผู้ป่วยเอดส์ หรือผู้ติดเชื้อ เอชไอวีจริง ๆ โดยเฉพาะ คนในครอบครัว นั้น จึงเป็นบุคคล สำคัญที่ช่วย ให้ผู้ป่วย มีคุณภาพ ชีวิตจิตใจ ที่ดีขึ้น เพราะนอกจาก คอยให้กำลังใจ แล้ว ยังต้องคนดูแลผู้ป่วย ให้มีสุขภาพที่แข็งแรง สมบูรณ์ และช่วยสร้าง สภาพแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ให้สามารถ อำนวยความสะดวก และเหมาะสมแก่ ผู้ป่วยด้วย โดยทั่วไป เราจะสามารถ ติดเชื้อเอชไอวี ได้จาก 3 ช่องทางหลัก ๆ คือ ติดต่อผ่านทางเลือด หรือการมีเพศสัมพันธ์ และ จากแม่สู่ลูกในครรภ์ แต่ผู้ที่ ต้องอยู่ร่วมกับ ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี ก็ต้อง ดูแลตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ ด้วยเหมือนกัน วิธี อยู่ ร่วม กับ คน ติด เชื้อ เอดส์  เช่น

1. การปฏิบัติ ต่อผู้ป่วย เหมือนคนปกติ คอยรับฟัง ปัญหา พร้อมกับให้คำปรึกษา ที่ดี และถูกต้องแก่ ผู้ป่วย เพื่อทำให้ เขารู้สึกสบายใจ

2. การทำ ที่อยู่อาศัย ให้เหมาะสม โดยเฉพาะ ผู้ป่วย ที่มีอาการรุนแรง ควรจัดบริเวณที่ อยู่อาศัยให้เหมาะแก่ การผ่อนคลาย เพื่อไม่ใช้ ผู้ป่วยเครียด

3. การดูแลสุขภาพ ของผู้ป่วย ควรให้ผู้ป่วย หมั่นพลิกตัว และทำกายภาพบำบัด เพื่อป้องกันปัญหาทาง สุขภาพ ที่ตามมา ในภายหลัง อย่างเช่น แผลกดทับ หรือข้อติดแข็ง เป็นต้น

4. การดูแลด้านอาหาร สำหรับผู้ป่วย อาหาร ก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นกัน ควรมี ความสะอาด เป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็น วัตถุดิบ อุปกรณ์เครื่องใช้ ในครัว และผู้ประกอบอาหาร ก็ควรดูแล ความสะอาด ด้วยเช่นกัน

5. การให้ผู้ป่วย รับประทาน ยาอย่างสม่ำเสมอ ควรสร้างวินัย ให้กับผู้ป่วย ในการรับประทาน ยาครบ ทุกมื้อ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกัน ประสิทธิภาพ ของยาลดลง

การใช้ชีวิต ร่วมกัน กับ ผู้ติดเชื้อ เอชไอวี นอกจาก จะต้อง ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีแล้ว ก็ควรระมัดระวัง ในการสัมผัส สารคัดหลั่ง ของผู้ป่วยด้วยเช่นกัน โดยสวมถุงมือยาง ทุกครั้ง และล้างมือ ด้วยสบู่เหลว รวมถึง แยกทิ้งขยะ ที่มีสารคัดหลั่งปะปน ออกจากขยะชนิดอื่น ๆ อีกด้วย และควรใช้ความระวังให้มากขึ้น เมื่อถือเข็มฉีดยา หรือของมีคมต่าง ๆ ที่มีเลือด ของผู้ป่วย ติดอยู่ รวมถึง การใช้ห้องน้ำ ร่วมกับ ผู้ติดเชื้อ ก็ควรมีความระมัดระวังด้วยเช่นกัน

 

                         -ขอขอบคุณ ที่มาของข้อมูลโดย กองบรรณาธิการ HONESTDOCS –

ระยะเวลาผลตรวจ NAT เร็วหรือช้ากว่าการตรวจปกติอย่างไร?

ระยะเวลาผลตรวจ NAT

ระยะเวลา ผลตรวจ NAT เร็ว หรือช้ากว่า การตรวจปกติอย่างไร?

การ ตรวจ NAT คืออะไร ระยะเวลาผลตรวจ NAT นั้น ช้า หรือเร็วแค่ไหน ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจ เกี่ยวกับ การตรวจ NAT กัน ก่อนดีกว่า การตรวจ NAT (Nucleic Acid Amplification Testing) เป็น การตรวจหาเชื้อเอชไอวี โดยตรงของเชื้อ โดยใช้ การตรวจหาเชื้อ และหาผล ที่น่าเชื่อถือได้ หลังสัมผัสเชื้อราว ๆ 1 สัปดาห์ โดย “แนท” เป็นการตรวจ วินิจฉัย หาเชื้อเอชไอวี ในรูปแบบใหม่ ที่คลินิก นิรนามต่าง ๆ และนำมา ใช้เป็นแนวทาง ใน การตรวจแบบแนท

การตรวจ NAT อาจเรียกได้ว่า เป็นนวัตกรรม ใหม่ล่าสุด

สำหรับผู้ที่ มีความเสี่ยง ต่อการรับเชื้อเอชไอวี หรือ อาจมีความวิตกกังวล หลังจากที่ ได้รับความเสี่ยงมา  โดยนวัตกรรมนี้ จะมีความรวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำสูงมาก หากท่านไม่จำเป็น ต้องรอ เป็นระยะเวลานาน ถึงหนึ่งเดือน อย่างที่ผ่านมา

ส่วนใหญ่ ผู้ที่มีความสุ่มเสี่ยง ติดเชื้อเอชไอวี จะสามารถตรวจพบเชื้อ โดยวิธีการตรวจแนท ได้ที่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลังได้รับความเสี่ยงมา แต่วิธีการนี้ ยังไม่ใช้โดยทั่วไป ในการตรวจคัดกรอง เพราะอาจเกิดผลบวกปลอม (false positive) ดังนั้น การติดตาม คนเหล่านี้ หลังจากได้รับยาต้าน ไปประมาณ 10-12 เดือน จึงนัดตรวจ เลือดอีกครั้ง เพื่อตรวจว่า ในเลือด และในน้ำคัดหลั่ง ไม่มีเชื้อยัง มีเชื้ออยู่ หรือไม่

หากนำเม็ดเลือดขาว ของคนไข้ ไปตรวจ และพบว่าแทบจะไม่มีเชื้อ แฝงอยู่ใน เม็ดเลือดเลยเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะโดยธรรมชาติ ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี จะมีตัวเชื้อ ไปแฝงตัวอยู่ ในเม็ดเลือดขาว ทำให้ ไม่สามารถรักษาให้หายขาด

โดยโอกาส ที่ผู้ป่วยจะหายเองได้นั้น มีมากขึ้น ถ้าผู้ป่วย กินยาต้าน ไปแล้ว 5 ปี ก็สามารถ หยุดยา ได้โดยที่เชื้อ ไม่กลับมาอีก อาจไม่ต้องกินยา ไปตลอดชีวิตทั้ง ที่อาจจะมีเชื้อ อยู่แต่เชื้อจะไม่โผล่ออกมา

แต่อย่างไรก็ตาม ต้องคิดเสมอว่า ทุกคน อยู่ในกลุ่มเสี่ยง และควรที่จะไปตรวจเลือด ในทุก ๆ 1 ปี หรือ มากกว่านั้น ก็ได้ถ้าอยู่ ในกลุ่มเสี่ยงมาก ถ้าตรวจเจอเร็ว รักษาเร็ว เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ และเพื่อมีสุขภาพที่ดีขึ้น เทียบเท่า ผู้ที่ไม่ติดเชื้อ

สรุปแล้ว ระยะเวลาผลตรวจ NAT ใช้เวลาเท่าใด

สามารถ ทราบผลได้ภายใน 1 วัน และสามารถตรวจ ในผู้ที่มีความเสี่ยงมาแล้ว 3 – 7  การตรวจแนท จึงเป็นวิธีการตรวจ ที่รวดเร็วที่สุด ในบรรดา การตรวจเอชไอวี โดยถ้าตรวจกับ ชุดตรวจธรรมดาทั่วไป จะสามารถตรวจเจอ หลังได้รับเชื้อแล้ว 3 – 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นชุดตรวจสมัยใหม่บางชนิด ด้วยเหตุนี้ การตรวจเชื้อผ่าน “แนท” จึงเป็นการช่วยย่นระยะเวลาการฟักตัว ของเชื้อเอชไอวี และจะทำให้เรารู้เร็วผลที่เร็วยิ่งขึ้น โดยที่ไม่ต้องรอผลนานเกินไป หมดกังวล และเมื่อรู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เราก็สามารถป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยได้เร็ว และยังสามารถยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ด้วย โดยประโยชน์ของการตรวจ “แนท” คือ จะมีความแม่นยำ และรวดเร็วกว่าการตรวจแบบธรรมดาทั่วไป ที่ตรวจหาแอนติบอดีที่ต้องอาจจะใช้ระยะเวลารอหลังเสี่ยงประมาณ 2 – 12 สัปดาห์

-ขอขอบคุณข้อมูลจาก สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ-