HIV อาการ …..เอชไอวี (HIV) เป็นเชื้อไวรัส ที่จะไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ซึ่งเป็นระบบที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรค ที่อยู่ภายในของร่างกาย ระยะเริ่มต้นเป็นอย่างไร เชื้อไวรัสตัวนี้ จะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน แล้วร่างกายจะเกิดการติดเชื้อ และมีอาการเจ็บป่วยได้ง่าย หรือ อาจจะเสียชีวิตลงได้ด้วยโรคนี้
การติดเชื้อเอชไอวี เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่สามารถแพร่เชื้อ ติดต่อได้ หากมีเพศสัมพันธ์ ผ่านทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก โดยที่ไม่ได้มีการป้องกัน และเชื้อไวรัสชนิดนี้ ยังสามารถแพร่เชื้อติดต่อได้อีก ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก หรือที่เรียกว่า Oral sex แบบที่ไม่ได้ป้องกันเช่นกัน โดยเฉพาะการหลั่งอสุจิภายในปาก เมื่อในปากนั้นมีบาดแผล เชื้อจะเข้าผ่านทางเยื่อเมือก ของบาดแผล เชื้อเอชไอวียังสามารถติดต่อได้ ผ่านทางเลือด ไม่ว่าจะเป็น การไปใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ที่อาจมีเชื้อเอชไอวี หรือการที่บาดแผล สัมผัสกับเลือดของผู้มีเชื้อเอชไอวี
อาการHIV
HIV อาการ …. อาการของ โรคเอชไอวี จะแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะเฉียบพลัน เป็น ระยะแรกของการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) จะเกิดขึ้นในระหว่าง 2-3 สัปดาห์ หลังจากการติดเชื้อ ซึ่งในระยะนี้ ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อมาแล้วส่วนมาก จะเริ่มมีอาการเหมือนกับเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น ไข้ขึ้น ปวดเมื่อยตามร่างกาย เจ็บคอ มีผื่นขึ้นตามร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งอาการดังกล่าว เกิดจากการที่ร่างกาย ได้ตอบสนอง ตอบโต้กับเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกาย เพราะเนื่องจากในระยะนี้ เชื้อไวรัสเอชไอวี จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในร่างกาย ทำให้เซลล์ CD4 (เม็ดเลือดขาว) ในร่างกาย มีการลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นระยะที่มีความเสี่ยงสูงมาก ที่ผู้ป่วยติดเชื้อจะแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่น
อย่างไรก็ตาม หลังจากระยะเฉียบพลันแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะค่อย ๆ ทำให้ปริมาณของเชื้อไวรัสเอชไอวี อยู่ในระดับที่คงที่ เรียกว่า Viral Set Point หมายความว่าเชื้อไวรัสจะมีปริมาณคงที่ในร่างกายและปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่จะยังมีสูงเท่ากับก่อนติดเชื้อ จากระยะแรกนี้เปลี่ยนเข้าสู่ระยะต่อไป ใช้เวลา 7 – 8 ปี แต่ในบางคนไม่มีอาการนานถึง 10 ปี
อาการในระยเฉียบพลันที่อาจพบได้ ได้แก่ ปวดหัว มีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต เจ็บคอ มีผื่น ปวดที่กล้ามเนื้อและข้อ มีแผลในปาก มีแผลที่อวัยวะเพศ เหงื่อออกตอนกลางคืน ท้องเสีย
- ระยะสงบ เป็นระยะที่เชื้อไวรัสเอชไอวีจะอยู่ในร่างกายโดยที่จะไม่มีการแสดงอาการใด ๆ หรืออาจมีการแสดงอาการเพียงเล็กน้อย บางครั้งอาจจะเรียกระยะนี้ว่า “ระยะติดเชื้อเรื้อรัง” ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ซึ่งในระยะนี้เชื้อไวรัสเอชไอวีจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระดับต่ำ และจะใช้เวลานานถึง 10 ปี หรือสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อบางรายอาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น
- ระยะโรคเอดส์ เป็นระยะสุดท้ายของ การติดเชื้อเอชไอวี และได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์ ซึ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่แข็งแรงนั้นมีปริมาณเซลล์ CD4 (เม็ดเลือดขาว) อยู่ระหว่าง 500 – 1,600 หากในขณะนั้นผู้ป่วยโรคเอดส์มีเซลล์ CD4 ต่ำกว่า 200 ถึงจุดนี้ระบบภูมิคุ้มกันได้ถูกทำลายไปอย่างรุนแรงซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อฉวยโอกาสได้ โดยเกิดจากเชื้อโรคที่ไม่ก่อให้เกิดโรคในคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่แข็งแรง แต่จะเกิดโรคกับ อาการที่จะเกิดขึ้นในระยะเอดส์ ได้แก่ มีไข้สูง หนาวสั่นและเหงื่อออกในตอนกลางคืน มีผื่นขึ้น มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ และไอเรื้อรัง น้ำหนักลดอย่างรุนแรง มีปื้นขาวในปาก มีแผลที่อวัยวะเพศ อ่อนเพลียเป็นประจำ เป็นโรคปอดอักเสบ มีปัญหาเกี่ยวกับความจำ
ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันร่างกายที่อ่อนแอ ไม่ว่าผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีจะมีปริมาณของเซลล์ CD4 เท่าใด ติดเชื้อฉวยหนึ่งโรค สองโรค หรือมากกว่านั้น ก็ถือว่าผู้ป่วยนั้นเป็น โรคเอดส์
จริงๆ แล้ว ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีหากรู้ตัวเร็ว ว่าตนเองติดเชื้อจะสามาถรักษาได้ทัน โดยที่อาจไม่ได้รักษาให้หายขาด เพราะในปัจจุบันนี้ ยังไม่มียาที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มียา ที่สามารถช่วยให้อาการ ของโรคเอชไอวีไม่แสดงอาการออกมาได้ ยาตัวนี้ เป็นยาที่เรารู้จักกันในชื่อ ยาต้านไวรัส ผู้ป่วยทานแล้ว ยาจะช่วยยับยั้ง การแบ่งตัวของเชื้อเอชไอวีให้ไม่เพิ่มจำนวนขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างปกติแล้ว ผู้ป่วยยังมีอายุขัยที่ยืนยาวใกล้เคียงกับคนปกติด้วย
ดังนั้นแล้วหากต้อง การตรวจหาเชื้อเอชไอวี เพื่อความสบายใจ ปัจจุบันก็มีชุดตรวจเอชไอวีที่สามารถตรวจด้วยตัวเองได้ แนะนำให้เลือกซื้อชุดตรวจที่มีความปลอดภัย และแม่นยำ โดยผ่านมาตรฐานสูงสุดในระดับสากล หรือสามารถไปตรวจได้ตามคลินิกนิรนามต่าง ๆ และโรงพยาบาลรัฐทั่วไปที่มีบริการตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีฟรี