การตรวจ NAT แม่นยำแค่ไหน ความรู้และข้อเท็จจริงที่ควรรู้

การตรวจ NAT แม่นยำแค่ไหน

การตรวจ NAT แม่นยำแค่ไหน ข้อมูลที่ถูกต้องและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความแม่นยำ เพื่อการตรวจเชื้อเอชไอวีและการรับมือกับสถานการณ์เอดส์ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) นับว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่ทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างสูง ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การวิจัยทางการแพทย์จึงมุ่งเน้นในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างแม่นยำและรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคือ การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Testing) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสต่างๆ โดยเฉพาะไวรัสเอชไอวี

 

NAT คืออะไร?

NAT ย่อมาจาก Nucleic Acid Testing หรือการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสโดยตรง เทคโนโลยีนี้สามารถตรวจหา RNA ของไวรัสเอชไอวีได้ ซึ่งเป็นสารพันธุกรรมที่ไวรัสใช้ในการแบ่งตัวภายในเซลล์ของร่างกาย ทำให้ NAT เป็นการตรวจที่แม่นยำและรวดเร็วกว่าเทคโนโลยีแบบดั้งเดิม
โดยปกติแล้ว เมื่อติดเชื้อเอชไอวี ร่างกายจะเริ่มสร้างแอนติบอดีเพื่อรับมือกับเชื้อไวรัส ซึ่งการตรวจแอนติบอดีนี้เองคือวิธีการตรวจหาเชื้อเอชไอวีแบบดั้งเดิมที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย แต่การตรวจ NAT สามารถตรวจพบเชื้อได้แม้ยังไม่เกิดการสร้างแอนติบอดี ทำให้ NAT มีความไวสูง และสามารถตรวจพบเชื้อในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ หรือที่เรียกว่า acute infection ได้เร็วกว่า

การตรวจ NAT แม่นยำแค่ไหน?

คำตอบ คือ จากการวิจัยและข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบัน NAT นับเป็นการตรวจที่มีความไว (sensitivity) และความจำเพาะ (specificity) สูงมาก

เนื่องจาก NAT สามารถตรวจหาตัวไวรัสได้โดยตรง ผลการตรวจสามารถระบุได้ว่ามีการติดเชื้อเอชไอวีอยู่ในร่างกายหรือไม่ในระยะเวลาหลังการสัมผัสเชื้อเพียง 7-14 วัน ซึ่งเร็วกว่าการตรวจแอนติบอดีที่อาจต้องใช้เวลาถึง 2-3 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ

นอกจากนี้ การตรวจ NAT ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจคัดกรองเลือดและพลาสมาในธนาคารเลือด เพื่อลดความเสี่ยงของการแพร่เชื้อทางการให้เลือด นับเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อการป้องกันการแพร่เชื้อเอชไอวีในสังคม

อย่างไรก็ตาม แม้ NAT จะมีความแม่นยำสูง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ โดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุนที่สูงกว่าการตรวจแบบดั้งเดิม และกระบวนการตรวจที่ซับซ้อนกว่า ทำให้ NAT มักใช้ในการตรวจคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้บริจาคเลือด หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีสูง

 

สถานการณ์เอดส์ในปัจจุบัน

การแพร่ระบาดของเชื้อเอชไอวีทั่วโลกในปัจจุบันยังคงเป็นปัญหาสำคัญ แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในเรื่องการรักษาและการป้องกันก็ตาม ข้อมูลจาก UNAIDS รายงานว่า ในปี 2022 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกประมาณ 38.4 ล้านคน และในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิตจากเอดส์ประมาณ 650,000 คน

ในประเทศไทย สถานการณ์การติดเชื้อเอชไอวีก็ยังคงน่าเป็นห่วง จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี 2566 มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 5,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์มากกว่า 1,000 ราย แม้ว่าการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) จะช่วยยืดชีวิตผู้ติดเชื้อและลดการแพร่เชื้อ แต่การตรวจหาเชื้อเอชไอวีอย่างแม่นยำและรวดเร็วก็ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไทยได้มีการส่งเสริมการใช้ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV self-testing) ซึ่งช่วยให้ประชาชนสามารถตรวจหาเชื้อได้ด้วยตนเองที่บ้าน นับว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยกระจายการตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวีในวงกว้าง และช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อในสังคม

 

ในอนาคต การตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยเทคโนโลยี NAT มีแนวโน้มที่จะพัฒนาให้มีความรวดเร็วมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถใช้ได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำลง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวีได้มากขึ้น รวมถึงการผสานกับนโยบายและโครงการต่างๆ ในการป้องกันการแพร่เชื้อ เช่น โครงการการใช้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) ที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี

ความแม่นยำและความรวดเร็วในการตรวจ NAT ทำให้เทคโนโลยีนี้มีบทบาทสำคัญในการลดการแพร่เชื้อในสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองผู้บริจาคเลือดในธนาคารเลือด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อผ่านการรับเลือด

เทคโนโลยีการตรวจ NAT นับเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีความแม่นยำสูงและรวดเร็วในการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ทำให้สามารถตรวจพบเชื้อได้ในระยะเริ่มต้นของการติดเชื้อ และมีบทบาทสำคัญในการลดการแพร่ระบาดของเชื้อในสังคม อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น ต้นทุนที่สูงและการตรวจที่ซับซ้อน แต่ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในอนาคต คาดว่า NAT จะมีบทบาทมากขึ้นในการตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประชากรที่กว้างขึ้น

สำหรับผู้ที่สนใจการตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยตนเอง ปัจจุบันมีชุดตรวจเอชไอวีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งสามารถตรวจได้ง่าย รวดเร็ว และมีความแม่นยำ หนึ่งในนั้นคือชุดตรวจเอชไอวีด้วยตัวเองจากแบรนด์ อินสติ (INSTI) มีความไวสูง สามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 1 นาที ทำให้คุณสามารถทราบผลการตรวจได้อย่างรวดเร็ว และมั่นใจในผลการตรวจ

 


อินสติ

อินสติ มีจำหน่ายที่ร้านขายยาทั่วไป สามารถเข้าไปค้นหาร้านขายยาที่มีอินสติ ได้ที่ ร้านจำหน่าย INSTI 

หรือสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Grab , LINE MAN , Foodpanda , Lalamove เข้าไปที่แอพแล้วเลือกร้าน Boots เสิร์จ คำว่า ชุดตรวจเอชไอวี หรือคำว่า อินสติ หรือ Insti

ผ่านอีกหนึ่งช่องทางคือสั่งซื้อผ่านทางผู้นำเข้าโดยตรง ได้ที่

Line OA: @insti

Facebook: อินสติ insti ชุดตรวจเอชไอวี

Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST

Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST

Tiktok:  Insti.thailand-v2

Line Shopping: insti

Website: thailandhivtest.com

ชุดตรวจ HIV Gen 4 เชื่อถือได้ไหม

ชุดตรวจ HIV Gen 4 เชื่อถือได้ไหม

ชุดตรวจ HIV Gen 4 เชื่อถือได้ไหม

ในยุคที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การตรวจหาเชื้อ HIV ที่รวดเร็วและแม่นยำมีความสำคัญยิ่งในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนี้ ชุดตรวจ HIV Gen 4 ถือเป็นนวัตกรรมที่มีการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว แต่คำถามคือ ชุดตรวจ HIV Gen 4 เชื่อถือได้ไหม มันเชื่อถือได้จริงหรือไม่?

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับชุดตรวจ HIV Gen 4

ชุดตรวจ HIV Gen 4 เป็นเครื่องมือที่สามารถตรวจหาแอนติเจน p24 และแอนติบอดีต่อเชื้อ HIV ได้ในเวลาเดียวกัน แอนติเจน p24 เป็นโปรตีนที่ปรากฏในร่างกายในช่วงแรกหลังจากที่ติดเชื้อ ทำให้สามารถตรวจพบการติดเชื้อได้เร็วกว่าชุดตรวจรุ่นก่อนหน้า

  • แอนติเจน p24: ตรวจพบได้ในระยะเวลา 2-4 สัปดาห์หลังติดเชื้อ
  • แอนติบอดีต่อ HIV: ตรวจพบได้หลังจากติดเชื้อ 3-4 สัปดาห์

ความน่าเชื่อถือของชุดตรวจ HIV Gen 4

การศึกษาและรายงานจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ยืนยันว่าชุดตรวจ HIV Gen 4 มีความแม่นยำสูง ด้วยความไว (sensitivity) ประมาณ 99.9% และความจำเพาะ (specificity) ประมาณ 99.8% ซึ่งหมายถึงโอกาสที่จะเกิดผลบวกปลอมหรือผลลบปลอมมีน้อยมาก

ตามรายงานของ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC) ชุดตรวจ HIV Gen 4 ถือเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการตรวจหาเชื้อ HIV ในสถานพยาบาลทั่วโลก เนื่องจากสามารถตรวจพบเชื้อได้เร็วและแม่นยำกว่า

สถานการณ์การใช้ชุดตรวจ HIV ในประเทศไทย

ประเทศไทยได้มีการนำชุดตรวจ HIV Gen 4 มาใช้ในโรงพยาบาลและคลินิกต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจหาเชื้อ และลดระยะเวลารอคอยผลตรวจ นอกจากนี้ การตรวจ HIV ด้วยชุดตรวจรุ่นนี้ยังช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโดยการให้การรักษาแก่ผู้ติดเชื้อในระยะแรกได้ทันท่วงที

จากข้อมูลของ กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2023 การตรวจ HIV ด้วยชุดตรวจ Gen 4 ได้ช่วยลดอัตราการแพร่กระจายของเชื้อในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในกลุ่มชายรักชายและผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด

ความท้าทายและข้อควรพิจารณา

แม้ว่าชุดตรวจ HIV Gen 4 จะมีความแม่นยำสูง แต่การตรวจควรทำในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้ การตรวจเร็วเกินไปหลังจากการสัมผัสเชื้ออาจทำให้เกิดผลลบปลอมได้ ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด

นอกจากนี้ ความสำคัญของการตรวจ HIV ไม่ได้อยู่ที่เพียงการรู้ผลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการให้คำปรึกษาและการสนับสนุนผู้ที่ได้รับผลตรวจบวกให้เข้าถึงการรักษาและการดูแลสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม

 

ชุดตรวจ HIV Gen 4 ถือเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ในการตรวจหาเชื้อ HIV ช่วยให้ผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถตรวจสอบสุขภาพของตนเองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ การเข้าถึงการตรวจที่มีคุณภาพและการรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ

ปัจจุบันมีชุดตรวจที่สามารถหาการติดเชื้อเอชไอวีด้วยตัวเองที่บ้านได้แล้ว ยี่ห้อ อินสติ โดยมีความแม่นยำสูงมากกว่า 99% ซึ่งเราสามารถหาซื้อชุดตรวจนำไปตรวจได้เอง สะดวก แม่นยำ ปลอดภัย สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการติดเชื้อ สามารถหาซื้อได้ที่ร้านยาชั้นนำใกล้บ้าน หรือ ปรึกษาแพทย์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับข้อมูลและการดูแลที่เหมาะสม

แหล่งข้อมูล:

  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐอเมริกา (CDC)
  • กระทรวงสาธารณสุขประเทศไทย
  • UNAIDS Global AIDS Update 2023

 

ตรวจ HIV โรงพยาบาลกี่บาท ค่าใช้จ่ายและความสะดวกเป็นอย่างไร

ตรวจ HIV โรงพยาบาลกี่บาท

ตรวจ HIV โรงพยาบาลกี่บาท ค่าใช้จ่ายทั้ง รพ รัฐ และ รพ เอกชน ประมาณเท่าไร ข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้างที่เราต้องรู้และต้องคำนึงถึงเมื่อเราต้องการตรวจหาเชื้อเอชไอวี

การตรวจหาเชื้อ HIV เป็นขั้นตอนสำคัญที่ทุกคนควรพิจารณา ไม่เพียงแต่เพื่อความปลอดภัยของตนเอง แต่ยังเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น ในประเทศไทย การตรวจหาเชื้อ HIV สามารถทำได้ทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ซึ่งแต่ละแห่งมีค่าใช้จ่ายและขั้นตอนที่แตกต่างกันไป บทความนี้จะเจาะลึกถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการตรวจ HIV ในโรงพยาบาลรัฐ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง และเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่น ๆ เช่น การใช้ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง

ค่าใช้จ่ายในการตรวจ HIV ที่โรงพยาบาลรัฐ

ในประเทศไทย การตรวจหาเชื้อ HIV ในโรงพยาบาลรัฐมักมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลเอกชน ส่วนใหญ่จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 200-500 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละโรงพยาบาลและประเภทของการตรวจที่ทำ การตรวจที่โรงพยาบาลรัฐมักมีความแม่นยำสูง เนื่องจากมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยและบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงหรือมีความจำเป็นทางการแพทย์ โรงพยาบาลรัฐบางแห่งอาจให้บริการตรวจฟรี ทั้งนี้ควรตรวจสอบกับโรงพยาบาลล่วงหน้าเพื่อทราบข้อมูลที่แน่นอน

ขั้นตอนการตรวจ HIV ที่โรงพยาบาลรัฐ

      1. การลงทะเบียน: เริ่มต้นด้วยการลงทะเบียนที่แผนกผู้ป่วยนอก (OPD) ของโรงพยาบาล โดยผู้เข้ารับการตรวจจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวและประวัติสุขภาพ

      2. การซักประวัติและให้คำปรึกษา: แพทย์จะทำการซักประวัติสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อประเมินความจำเป็นในการตรวจ

      3. การเก็บตัวอย่างเลือด: หากแพทย์พิจารณาว่าจำเป็นต้องตรวจ จะมีการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อ HIV

      4. การแจ้งผล: ผลตรวจจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของห้องปฏิบัติการของแต่ละโรงพยาบาล

ข้อดีและข้อเสียของการตรวจ HIV ที่โรงพยาบาลรัฐ

ข้อดี:

  • ความแม่นยำและเชื่อถือได้: การตรวจที่โรงพยาบาลรัฐมีความแม่นยำสูงและได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข
  • ราคาถูกหรือไม่มีค่าใช้จ่าย: สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีความจำเป็นทางการแพทย์ การตรวจมักไม่มีค่าใช้จ่าย หรือถ้ามี ค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงมาก

ข้อเสีย:

  • ระยะเวลารอผลนาน: การตรวจหาเชื้อ HIV ที่โรงพยาบาลรัฐอาจใช้เวลานานในการรอผล ซึ่งอาจทำให้ผู้ตรวจเกิดความกังวลในระหว่างที่รอ
  • ความไม่สะดวกในการเข้ารับบริการ: การไปตรวจที่โรงพยาบาลอาจทำให้บางคนรู้สึกไม่สะดวก เนื่องจากต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและเผชิญกับผู้คนมากมาย

ทางเลือกในการตรวจ HIV ด้วยตัวเอง

ในปัจจุบัน การตรวจ HIV ด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัวที่มอบให้ ชุดตรวจ HIV ยี่ห้อ Insti เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยม มีข้อดีหลายประการ ได้แก่:

  • ความสะดวกสบาย: สามารถตรวจได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องเสียเวลาไปโรงพยาบาล
  • ความเป็นส่วนตัว: ไม่มีใครรู้ว่าคุณกำลังตรวจหาเชื้อ HIV อยู่ ทำให้ลดความกังวลเรื่องการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว
  • ทราบผลรวดเร็ว: ใช้เวลาเพียง 1 นาทีในการทราบผล ซึ่งเร็วกว่าเมื่อเทียบกับการตรวจที่โรงพยาบาลรัฐ

การเปรียบเทียบราคาการตรวจ HIV ระหว่างโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน

ตรวจ HIV โรงพยาบาลกี่บาท เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการตรวจ HIV ระหว่างโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน จะพบว่าโรงพยาบาลรัฐมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่ามาก โดยค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลเอกชนอาจสูงถึง 1,000-3,000 บาท ขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและบริการเสริมที่เลือกใช้ แม้ว่าการตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนจะมีความสะดวกและรวดเร็วกว่า แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อพิจารณาในการเลือกวิธีตรวจ HIV

การเลือกวิธีตรวจ HIV ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงความสะดวก ความต้องการความเป็นส่วนตัว และงบประมาณของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วและความเป็นส่วนตัวสูง การใช้ชุดตรวจ HIV ด้วยตัวเอง

เช่น ชุดตรวจ Insti อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม ในขณะที่ผู้ที่ต้องการการตรวจที่มีความแม่นยำสูงและราคาถูก โรงพยาบาลรัฐยังคงเป็นทางเลือกที่ดี

สรุป

การตรวจหาเชื้อ HIV เป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาสุขภาพและป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ ในประเทศไทย การตรวจ HIV ที่โรงพยาบาลรัฐมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงและมีความแม่นยำสูง แต่ใช้เวลารอผลนานและอาจมีความไม่สะดวกในการเข้ารับบริการ สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัวสูง

การตรวจ HIV ด้วยตัวเองด้วยชุดตรวจยี่ห้อ Insti เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ให้คุณทราบผลได้รวดเร็วและมีความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้คุณสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 


ชุดตรวจ HIV

INSTi HIV Self Test ผ่านการรับรองจาก Health Canada และได้รับรองมาตรฐานสากล CE Marked และ WHO Pre-Qualified ผ่านอย.ไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลขอย. 64-2-1-1-0000679

 

อินสติ รู้ผลใน 1 นาที สามารถหาซื้อ อินสติ ได้ที่ร้านขายยาทั่วประเทศ ค้นหา ร้านขายยาจำหน่าย อินสติ ได้ที่นี่ Click

สั่งซื้อ จากผู้นำเข้า และจัดจำหน่าย โดยตรง

Line OA: @insti

Facebook: อินสติinsti ชุดตรวจเอชไอวี

Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST

Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST

Tiktok: Insti.thailand-v2

Line Shopping: insti

Website: thailandhivtest.com

ตรวจ HIV 21 วัน เชื่อถือได้ไหม ชุดตรวจเอชไอวี Insti ตรวจได้ไหม

ตรวจ HIV 21 วัน เชื่อถือได้ไหม

ตรวจ HIV 21 วัน เชื่อถือได้ไหม การตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) เป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาสุขภาพของเรา โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพื่อให้การตรวจมีประสิทธิภาพ การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ในบทความนี้ เราจะมาสำรวจว่าการตรวจ HIV หลังการติดเชื้อเพียง 21 วันมีความน่าเชื่อถือเพียงใด และแนะนำชุดตรวจเอชไอวี Insti ที่สามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

การตรวจ HIV หลัง 21 วัน

1. การทำงานของร่างกายหลังการติดเชื้อ
หลังจากการติดเชื้อ HIV ร่างกายของเราจะเริ่มสร้างแอนติบอดีเพื่อต่อสู้กับไวรัส ซึ่งกระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์ ดังนั้น การตรวจหาแอนติบอดีหลังการติดเชื้อเพียง 21 วัน อาจยังไม่สามารถตรวจพบได้ในทุกกรณี ยกเว้น ชุดทดสอบที่ผ่านการทดสอบมาแล้วว่าสามารถทดสอบเจอที่ 21 วันขึ้นไป

2. ประเภทของการตรวจ
การตรวจ HIV มีหลายประเภท เช่น การตรวจแอนติบอดี การตรวจแอนติเจน และการตรวจ RNA ซึ่งแต่ละประเภทมีช่วงเวลาที่เหมาะสมต่างกัน การตรวจแอนติเจนหรือ RNA สามารถตรวจพบไวรัสได้เร็วกว่า

3. ความแม่นยำของการตรวจ
ความแม่นยำของการตรวจ HIV หลัง 21 วันขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจที่ใช้ การตรวจแอนติเจน (p24 antigen test) และการตรวจ RNA (RNA test) มีโอกาสตรวจพบเชื้อไวรัสได้ในระยะเวลานี้ ขณะที่การตรวจแอนติบอดีอาจต้องรอนานกว่านี้เพื่อให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีให้เพียงพอ

แนะนำชุดตรวจเอชไอวี Insti

ในการตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยตัวเอง ชุดตรวจเอชไอวี Insti เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และที่สำคัญ เป็นชุดตรวจ ที่สามารถตรวจได้ตั้งแต่ 21 วันขึ้นไป ด้วยข้อดีที่น่าสนใจดังนี้

1. ผลลัพธ์รวดเร็ว
ชุดตรวจเอชไอวี Insti สามารถให้ผลลัพธ์ได้ภายใน 1 นาที ซึ่งช่วยลดความกังวลและความเครียดของผู้ใช้

2. ความแม่นยำสูง
ผ่านการรับรองจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก ชุดตรวจนี้มีความแม่นยำในการตรวจหาแอนติบอดีเอชไอวี

3. ใช้งานง่าย
ชุดตรวจ Insti ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อน เพียงทำตามขั้นตอนที่ระบุในคู่มือก็สามารถตรวจได้ด้วยตัวเอง

4. ความเป็นส่วนตัว
การตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยตัวเองที่บ้าน ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ ไม่ต้องไปตรวจที่สถานพยาบาล

ความสำคัญของการตรวจ HIV อย่างสม่ำเสมอ

การตรวจ HIV อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง หรือคู่สมรสของผู้ที่ติดเชื้อ การตรวจอย่างต่อเนื่องช่วยให้สามารถตรวจพบและรับการรักษาได้ทันเวลา ลดความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อและช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    ตรวจ HIV 21 วัน เชื่อถือได้ไหม การตรวจหาเชื้อเอชไอวีหลังการติดเชื้อ 21 วันมีความน่าเชื่อถือขึ้นอยู่กับประเภทของการตรวจที่ใช้ และควรเลือกชุดตรวจที่มีคุณภาพ เช่น ชุดตรวจเอชไอวี Insti ที่มีความแม่นยำและให้ผลลัพธ์รวดเร็ว เพื่อให้มั่นใจในการตรวจหาเชื้อเอชไอวีด้วยตัวเอง ทั้งนี้ การตรวจหาเชื้ออย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี

สำหรับผู้ที่สนใจ ชุดตรวจเอชไอวี Insti สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยาและออนไลน์ ด้วยคุณภาพที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก คุณจึงมั่นใจได้ในผลลัพธ์ที่ได้จากการตรวจ ด้วยความรวดเร็วและแม่นยำที่ชุดตรวจ Insti มอบให้

 

 


INSTi HIV Self Test ผ่านการรับรองจาก Health Canada และได้รับรองมาตรฐานสากล CE Marked และ WHO Pre-Qualified ผ่านอย.ไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลขอย. 64-2-1-1-0000679

 

อินสติ รู้ผลใน 1 นาที สามารถหาซื้อ อินสติ ได้ที่ร้านขายยาทั่วประเทศ ค้นหา ร้านขายยาจำหน่าย อินสติ ได้ที่นี่ Click

สั่งซื้อ จากผู้นำเข้า และจัดจำหน่าย โดยตรง

Line OA: @insti

Facebook: อินสติinsti ชุดตรวจเอชไอวี

Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST

Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST

Tiktok: Insti.thailand-v2

Line Shopping: insti

Website: thailandhivtest.com

 

ถุงยางแตกมีโอกาสติดเชื้อไหม ถุงยางอนามัยบทป้องกันการติดเชื้อ

ถุงยางแตกมีโอกาสติดเชื้อไหม

ถุงยางแตกมีโอกาสติดเชื้อไหม ถุงยางอนามัยมีบทบาทสำคัญต่อการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และยังช่วยป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

 

ถุงยางอนามัยมีประโยชน์หลายประการในการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพทางเพศ ดังนี้:

  1. ป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์

ถุงยางอนามัยเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงเมื่อใช้อย่างถูกต้อง ช่วยลดความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ได้อย่างมีนัยสำคัญ

  1. ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  2. เพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์
  3. ไม่มีผลข้างเคียงทางฮอร์โมน
  4. ใช้ได้ง่ายและสะดวก
  5. สามารถใช้ร่วมกับวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ
  6. การป้องกันแบบทันที ถุงยางอนามัยสามารถใช้งานได้ทันที ไม่ต้องมีการเตรียมการล่วงหน้าเหมือนบางวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ

 

ถุงยางแตกมีโอกาสติดเชื้อไหม

เมื่อถุงยางอนามัยแตก หรือเกิดการฉีกขาดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากจะต้องเป็นกังวลเรื่องการตั้งครรภ์แล้ว ก็ยังมีเรื่องโอกาสในการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องกังวล เนื่องจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่อาจมีเชื้อโรคอยู่ การติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีถุงยางอนามัยฉีกขาดขณะมีเพศสัพพันธ์ ได้แก่:

  1. HIV (Human Immunodeficiency Virus): เชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายและสามารถนำไปสู่โรคเอดส์ (AIDS) ได้
  2. โรคหนองใน (Gonorrhea): การติดเชื้อแบคทีเรียที่สามารถติดในระบบสืบพันธุ์ ทวารหนัก และคอหอย
  3. ซิฟิลิส (Syphilis): การติดเชื้อแบคทีเรียที่สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรงหากไม่ได้รับการรักษา
  4. หนองในเทียม (Chlamydia): การติดเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยและสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
  5. ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B): การติดเชื้อไวรัสที่มีผลกระทบต่อตับ
  6. เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes): การติดเชื้อไวรัส Herpes Simplex Virus (HSV) ที่สามารถทำให้เกิดแผลและมีอาการปวด
  7. เชื้อ HPV (Human Papillomavirus): เชื้อไวรัสที่สามารถทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก
  8. การติดเชื้อทางทวารหนักและลำไส้: เช่น Trichomoniasis, Mycoplasma genitalium, และ Ureaplasma

ถุงยางอนามัย (condom) เป็นหนึ่งในวิธีป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ รวมถึงเชื้อ HIV ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หากถุงยางแตกหรือมีการรั่วเกิดขึ้น โอกาสในการติดเชื้อจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำอสุจิหรือสารหล่อลื่น ที่อาจมีเชื้อ HIV หรือเชื้อโรคอื่นๆ อยู่

 

หากเกิดเหตุการณ์ถุงยางแตกในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ควรทำตามขั้นตอนดังนี้เพื่อป้องกันการติดเชื้อ:

 

  1. หยุดการมีเพศสัมพันธ์ทันที: หยุดการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการสัมผัสกับเชื้อเพิ่มเติม
  2. ทำความสะอาด: ล้างบริเวณอวัยวะเพศด้วยน้ำและสบู่ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อHIV
  3. ปรึกษาแพทย์: หากเกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ควรปรึกษาแพทย์ทันทีเกี่ยวกับการใช้ยาต้านไวรัสฉุกเฉิน (Post-Exposure Prophylaxis: PEP) ยา PEP ต้องเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ และต้องรับประทานอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์เป็นเวลา 28 วัน
  4. ตรวจสุขภาพ: ควรตรวจสอบสุขภาพของทั้งสองฝ่ายโดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ

 

การป้องกันและการตระหนักถึงความเสี่ยงในการติดเชื้อHIVเป็นสิ่งสำคัญ หากใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องและตรวจสอบความสมบูรณ์ก่อนใช้งาน จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมาก นอกจากนี้ ควรมีการสำรองถุงยางอนามัยไว้เสมอในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่จำเป็นจะต้องใช้

 

 

INSTi HIV Self Test ผ่านการรับรองจาก Health Canada และได้รับรองมาตรฐานสากล CE Marked และ WHO Pre-Qualified ผ่านอย.ไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลขอย. 64-2-1-1-0000679

อินสติ รู้ผลใน 1 นาที สามารถหาซื้อ อินสติ ได้ที่ร้านขายยาทั่วประเทศ ค้นหา ร้านขายยาจำหน่าย อินสติ ได้ที่นี่ Click

สั่งซื้อ จากผู้นำเข้า และจัดจำหน่าย โดยตรง

Line OA: @insti

Facebook: อินสติinsti ชุดตรวจเอชไอวี

Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST

Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST

Tiktok: Insti.thailand-v2

Line Shopping: insti

Website: thailandhivtest.com

 

 

โรคซิฟิลิสกับโรคเอดส์ เหมือนกันไหม

โรคซิฟิลิสกับโรคเอดส์

โรคซิฟิลิสกับโรคเอดส์ เหมือนกันไหม ทั้งสองโรคเกิดจากเชื้ออะไร ติดต่อได้ผ่านช่องทางไหน และสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่

 

เอดส์เป็นคำที่มักใช้เรียกกันติดปากเรียกแทนการติดเชื้อ HIV แต่ในความเป็นจริงแล้ว เอดส์ คือ ระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี

 

โรคซิฟิลิสกับโรคเอดส์ เหมือนกันไหม

โรคซิฟิลิส (Syphilis) และโรคเอดส์ (AIDS) เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย แต่ทั้งสองโรคมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน ได้แก่:

 

สาเหตุ

  • โรคซิฟิลิส: เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema pallidum
  • โรคเอดส์: เกิดจากเชื้อไวรัส Human Immunodeficiency Virus (HIV)

การแพร่เชื้อ

  • โรคซิฟิลิส: ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก การรับเลือดจากผู้มีเชื้อ การสัมผัสโดยตรงกับแผลซิฟิลิส และสามารถติดเชื้อได้จากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์หรือคลอด
  • โรคเอดส์: ติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปาก การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันกับผู้ที่มีเชื้อHIV การรับเลือดจากผู้มีเชื้อ และการติดจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอด หรือการให้นมแม่

อาการ

  • โรคซิฟิลิส: มีระยะการแสดงอาการ 4 ระยะคือ ระยะที่ 1 มีตุ่มเล็ก ๆ และจะแตกเป็นแผลที่ไม่เจ็บที่บริเวณที่ติดเชื้อ ระยะที่ 2 มีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย มีไข้ ระยะที่ 3 อาการสงบจะไม่ค่อยพบอาการใด ๆ  ระยะที่ 4 หรือระยะสุดท้ายจะมีผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ สมอง
  • โรคเอดส์: ผู้ติดเชื้อ HIV อาจไม่มีอาการในระยะแรก หรืออาจจะมีแต่เป็นเพียงอาการที่มักเกิดขึ้นได้กับโรคอื่น ๆ และไม่นานก็มักจะหายไปเอง อีกทั้งมีระยะสงบนานหลายปี แต่เมื่อเชื้อไวรัสทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนร่างกายอ่อนแอมากพอ จะเกิดโรคเอดส์ ซึ่งมีอาการของการติดเชื้อต่างๆ ที่เป็นการติดเชื้อฉวยโอกาสและมีโอกาสเสียชีวิตได้ง่าย

การรักษา

  • โรคซิฟิลิส: รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) เช่น เพนิซิลลิน (Penicillin) หากรักษาในระยะแรกๆ จะมีโอกาสหายขาดสูง
  • โรคเอดส์: ไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้หายขาด แต่สามารถควบคุมโรคได้ด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral therapy หรือ ART) ซึ่งช่วยลดปริมาณเชื้อไวรัสในร่างกายและเพิ่มคุณภาพชีวิต จำเป็นต้องกินยาตลอดชีวิตในทุก ๆ วัน ห้ามขาดยาหรือหยุดยาเอง

การป้องกัน

  • โรคซิฟิลิส: การใช้ถุงยางอนามัย การมีคู่นอนคนเดียว และการตรวจสุขภาพเป็นประจำ
  • โรคเอดส์: การใช้ถุงยางอนามัย การใช้เข็มฉีดยาที่สะอาดไม่ใช่ร่วมกับผู้อื่น การตรวจสุขภาพเป็นประจำ และการใช้ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP) สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง

การตรวจวินิจฉัย

  • โรคซิฟิลิส: ตรวจจากตัวอย่างเลือดหรือการตรวจเชื้อจากแผล
  • โรคเอดส์: ตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีต่อเชื้อ HIV หรือการตรวจปริมาณไวรัสในเลือด ปัจจุบันเอชไอวีสามารถตรวจหาการติดเชื้อด้วยตนเองได้แล้ว

 

อินสติ ชุดตรวจHIV ด้วยตนเอง ตรวจจากตัวอย่างเลือดปลายนิ้ว ชุดตรวจHIV คุณภาพ มาตรฐานจากประเทศแคนาดา ได้รับการรับรองจาก WHO Prequalified, CE Marked และ Health Canada ผ่านอย.ไทย เป็นที่เรียบร้อย เลขอย. 64-2-1-1-0000679

 

ด้วยเทคโนโลยีจากทางผู้ผลิตทำให้ อินสติ ชุดตรวจHIV ด้วยตนเอง ให้ผลลัพธ์ที่แม่นยำขึ้น และรู้ผลรวดเร็วขึ้น สามารถอ่านผลได้เลยใน 1 นาที สามารถใช้ตรวจในผู้ที่ได้รับความเสี่ยงมาแล้วกว่า 21 วัน

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะโรคซิฟิลิส หรือโรคเอดส์ ทั้งสองโรคนี้มีความสำคัญในการป้องกันและรักษาอย่างถูกต้องเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อและผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

 

 

 

มีจำหน่ายที่ร้านขายยาทั่วไป สามารถเข้าไปค้นหาร้านขายยาที่มีอินสติ ได้ที่ ร้านจำหน่าย INSTI 

 

หรือสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Grab , LINE MAN , Foodpanda , Lalamove เข้าไปที่แอพแล้วเลือกร้าน Boots เสิร์จ คำว่า ชุดตรวจเอชไอวี หรือคำว่า อินสติ หรือ Insti

 

ผ่านอีกหนึ่งช่องทางคือสั่งซื้อผ่านทางผู้นำเข้าโดยตรง ได้ที่

Line OA: @insti

Facebook: อินสติ insti ชุดตรวจเอชไอวี

Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST

Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST

Tiktok:  Insti.thailand-v2

Line Shopping: insti

Website: thailandhivtest.com

 

 

 

ตรวจ HIV เพื่ออะไร เป็นเรื่องจำเป็นอย่างมากที่ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจHIV

ตรวจ HIV เพื่ออะไร

ตรวจ HIV เพื่ออะไร ทำไมถึงสนับสนุนให้ประชาชนหันมาให้ความสนใจกับการตรวจเอชไอวีกันมากขึ้น การตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ดีอย่างไร

 

HIV : Human Immunodeficiency Virus เป็นไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง ทำให้บุคคลเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยและการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น อาจลุกลามไปสู่โรคเอดส์ Acquired Immune Deficiency Syndrome หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า ณ สิ้นปี 2561 มีผู้ติดเชื้อ HIV ประมาณ 37.9 ล้านคน แม้จะมีความก้าวหน้าในด้านการรักษาและป้องกัน แต่ HIV ยังคงเป็นข้อกังวลด้านสุขภาพที่สำคัญทั่วโลก

 

การตรวจ HIV เป็นการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่ช่วยให้คุณรู้สถานะการติดเชื้อ HIV ของตนเอง เพื่อเข้าใจความเสี่ยงและดูแลสุขภาพของคุณได้อย่างเหมาะสม นี่คือเหตุผลที่สำคัญที่เรา ตรวจ HIV เพื่ออะไร

 

  1. รับรู้สถานะ: การตรวจ HIV ช่วยให้คุณทราบว่าคุณติดเชื้อหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับการรักษาและดูแลเหมาะสมต่อไป
  2. รับการรักษาอย่างรวดเร็ว: การรับการรักษาตั้งแต่เริ่มแรกจะช่วยให้คุณมีโอกาสดีกว่าในการควบคุมสถานะการติดเชื้อ HIV และลดความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นโรคเอดส์
  3. ป้องกันการแพร่เชื้อ: การรับการรักษาอย่างเหมาะสมสามารถช่วยลดการแพร่เชื้อ HIV ได้ โดยการลดการติดเชื้อจากบุคคลติดเชื้อให้กับบุคคลอื่น
  4. ให้ความรู้และการสนับสนุน: การตรวจ HIV ยังช่วยให้คุณได้รับคำแนะนำและการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญในด้านสุขภาพ และองค์กรที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับ HIV/AIDS
  5. ลดความกังวลและเครียด: การทราบสถานะHIV ของตนเอง ว่าติดหรือไม่ ช่วยลดความกังวลและเครียดที่เกิดขึ้นจากความไม่แน่ใจเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง

 

การตรวจ HIV เป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลสุขภาพของตนเองและสังคมอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ควรทราบว่าการตรวจ HIV เป็นเรื่องส่วนตัว และควรรับการตรวจได้ง่าย เข้าถึงได้โดยไม่เสียเวลา และรับการดูแลให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับ HIV/AIDS ซึ่งจะช่วยให้คุณได้ข้อมูลและการสนับสนุนที่เป็นประโยชน์

 

การตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง ดีอย่างไร

การตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง (HIV Self-Testing) เป็นวิธีที่สะดวกและเป็นส่วนตัวในการตรวจ HIV ที่คุณทำได้ด้วยตนเองในบ้านหรือในสถานที่ส่วนตัว ข้อดีของการทดสอบตนเองเอชไอวีได้แก่

  1. สะดวกและเป็นส่วนตัว
  2. รวดเร็ว เปลืองเวลา ไม่ต้องเดินทางไกล
  3. ความเป็นส่วนตัวและความมั่นใจ
  4. การรับรู้สถานะเร็ว รักษาเร็ว

 

ชุดตรวจHIV ด้วยตนเองของ INSTI เป็นหนึ่งในชุดทดสอบที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขว้างในวงกว้าง

เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการทดสอบ HIV ด้วยตนเอง คนที่ต้องการทราบสถานะการติดเชื้อHIV อย่างรวดเร็วและสะดวก

 

INSTi HIV Self Test ผ่านการรับรองจาก Health Canada และได้รับรองมาตรฐานสากล CE Marked และ WHO Pre-Qualified ผ่านอย.ไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลขอย. 64-2-1-1-0000679

 

อินสติ รู้ผลใน 1 นาที สามารถหาซื้อ อินสติ ได้ที่ร้านขายยาทั่วประเทศ ค้นหา ร้านขายยาจำหน่าย อินสติ ได้ที่นี่ Click

สั่งซื้อ จากผู้นำเข้า และจัดจำหน่าย โดยตรง

Line OA: @insti

Facebook: อินสติinsti ชุดตรวจเอชไอวี

Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST

Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST

Tiktok: Insti.thailand-v2

Line Shopping: insti

Website: thailandhivtest.com

 

กี่วันถึงจะรู้ว่าติดเชื้อ HIV หลังสัมผัสเชื้อจะมีอาการอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง

กี่วันถึงจะรู้ว่าติดเชื้อ HIV

กี่วันถึงจะรู้ว่าติดเชื้อ HIV หลังสัมผัสเชื้อจะมีอาการอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง กำลังสงสัยว่าตนเองเสี่ยงติดเชื้อHIV เพียงมีระยะเวลาเสี่ยง 21 วัน อินสติ ชุดตรวจHIVด้วยตนเอง ตรวจได้

 

กี่วันถึงจะรู้ว่าติดเชื้อ HIV

หลังจากมีการสัมผัสที่เสี่ยงหรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อHIV ควรทำการตรวจHIV ในช่วงเวลาที่เหมาะสม  ซึ่งจะขึ้นอยู่กับวิธีตรวจที่ใช้ หากใช้วิธีการตรวจที่เรียกว่า HIV RNA test (หรือเรียกอีกอย่างว่า HIV nucleic acid test: NAT) จะสามารถตรวจพบเชื้อไวรัสได้ในช่วงเวลาที่รวดเร็วมาก ประมาณ 7-11 วันหลังจากการติดเชื้อ ในขณะที่ HIV Antibody Test ที่การทดสอบภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัส HIV จะต้องรอให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อไวรัสโดยสามารถตรวจพบได้หลังสัมผัสเชื้อมาประมาณ 3-4 สัปดาห์ ดังนั้น การตรวจสอบระยะเวลาที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับวิธีตรวจที่ใช้ และระยะเวลาเสี่ยงที่มีอยู่ แต่ส่วนมากแล้ว หลังจากการตรวจหาเชื้อในครั้งแรกแล้ว จะแนะนำให้มีการตรวจติดตามอีกครั้ง โดยรอให้ผ่านไปอย่างน้อย 3 เดือนหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่เสี่ยงจะถือว่าเป็นการตรวจเช็คผลอีกครั้ง เพื่อผลการตรวจที่เชื่อถือได้สูงสุด

 

หลังสัมผัสเชื้อHIV จะมีอาการอย่างไรเกิดขึ้นบ้าง

การติดเชื้อ HIV อาจไม่แสดงอาการใดๆ ในระยะแรกหรือสามารถแสดงอาการเล็กน้อยที่มักจะผสมผสานกับอาการของโรคทั่วไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นภายในสามถึงสี่สัปดาห์หลังจากการสัมผัสเชื้อ อาการที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะแรกนี้ ได้แก่ 

  1. ไข้
  2. ครั่นเนื้อครั่นตัวหรือความเหนื่อยล้า
  3. ปวดเมื่อยตามตัว
  4. หนาวไข้
  5. ผื่นบนผิวหนัง
  6. ปวดหัว
  7. ปวดกล้ามเนื้อ
  8. อาการปวดคอ
  9. อาการปวดในท้อง

ในระยะที่ 2 ของการติดเชื้อ HIV อาจไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยเท่านั้น ระยะนี้อาจเรียกว่า “ระยะเชื้อพัฒนา” หรือ “ระยะติดเชื้อโดยไม่มีอาการ” (Clinical latent infection: Chronic HIV)) อาการที่อาจเกิดขึ้นได้

  1. ต่อมน้ำเหลืองโตขึ้น
  2. อาการหนาวสั่นหรือไข้
  3. อาการปวด อาจมีอาการปวดทั่วไปในร่างกาย โดยเฉพาะปวดที่ข้อต่อ ไหล่ หรือลำตัว
  4. ผื่นผิวหนัง อาจเป็นผื่นผิวหนังที่เป็นจุดแดงหรือดำบนผิวหนัง เกิดขึ้นบริเวณหน้าอก หรือลำตัว

 

ระยะที่ 3 ของการติดเชื้อ HIV เรียกว่า “ระยะเอดส์” (AIDS stage) ซึ่งเป็นระยะที่ร่างกายมีการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดลงอย่างมาก และเริ่มปรากฏอาการที่รุนแรงมากขึ้น ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคร้ายอื่นๆ อย่างมาก หากไม่ได้รับการรักษาหรือการดูแลเหมาะสม สามารถทำให้เสียชีวิตได้ 

 

การตรวจสุขภาพ และรับการรักษาเป็นสำคัญในการจัดการระยะนี้ ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ควรรีบพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญในการดูแลสุขภาพเพื่อรับการรักษาและการดูแลเพิ่มเติม

 

แต่หากกำลังสงสัยว่าตนเองได้รับความเสี่ยงต่อการติดเชื้อHIV เพียงมีระยะเวลาเสี่ยงหรือหลังสัมผัสเชื้อมานานแล้วกว่า 21 วัน สามารถใช้ อินสติ ชุดตรวจHIVด้วยตนเอง ตรวจได้ เลขอย. ไทย 64-2-1-1-0000679 ชุดตรวจนำเข้าจากประเทศแคนาดา ผ่านการรับรองจาก Health Canada และได้รับรองมาตรฐานสากล CE และ WHO Pre-Qualified

 

มีจำหน่ายที่ร้านขายยาทั่ว สามารถเข้าไปค้นหาร้านขายยาที่มีอินสติ ได้ที่ ร้านจำหน่าย INSTI   

 

หรือสั่งซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Grab , LINE MAN , Foodpanda , Lalamove เข้าไปที่แอพแล้วเลือกร้าน Boots เสิร์จ คำว่า ชุดตรวจเอชไอวี หรือคำว่า อินสติ หรือ Insti

 

ผ่านอีกหนึ่งช่องทางคือสั่งซื้อผ่านทางผู้นำเข้าโดยตรง ได้ที่

Line OA: @insti

Facebook: อินสติ insti ชุดตรวจเอชไอวี

Shopee: INSTi_THAILANDHIVTEST

Lazada: INSTi_THAILANDHIVTEST

Tiktok:  Insti.thailand-v2

Line Shopping: insti

Website: thailandhivtest.com

 

INSTi กี่วันตรวจได้ ตรวจHIV ตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง ดีอย่างไร

INSTi กี่วันตรวจได้, อินสติ, INSTI, ชุดตรวจHIV, ชุดตรวจ HIV ซื้อที่ไหน, ชุดตรวจ HIV อินสติ, เอดส์, ตรวจเอดส์, ตรวจเอดส์ รู้ผลทันที, ชุดตรวจ HIV ร้านขายยา, ชุดตรวจ HIV ด้วยตนเอง

INSTi กี่วันตรวจได้ ตรวจHIV ตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง ดีอย่างไร การตรวจเอชไอวีจำเป็นหรือไม่

 

การตรวจเอชไอวีจำเป็นหรือไม่

จำเป็นมาก เพราะว่าการที่จะทราบได้ว่าคน ๆ หนึ่ง ติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่นั้น จะต้องพึ่งพาการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีเพียงเท่านั้น อาการบางอย่างที่เกิดขึ้นและทำให้เกิดความสงสัยบางครั้งก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่านี่คืออาการของการติดเชื้อHIV หลายคนมักเข้าใจผิดว่าหากร่างกายแข็งแรงปกติไม่มีอาการใด ๆ หลังจากที่เคยมีพฤติกรรมเสี่ยงหรือมีโอกาสได้รับเชื้อก็อาจไม่จำเป็นจะต้องทำการตรวจหาเชื้อHIV ในกรณีนี้หากมีการติดเชื้อเอชไอวีจริง ๆ เชื้อก็อาจจะลุกลามถึงขั้นรุนแรง อาจมีการติดเชื้ออื่นร่วมด้วย และอยู่ในระยะโรคที่รักษาได้ยากหรือรักษาไม่ทันเวลา

 

การตรวจเอชไอวีจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อHIV หรือมีโอกาสเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อHIVอยู่เสมอ ควรที่จะตรวจหาเชื้อเอชไอวีอยู่เป็นประจำเหมือนกับการตรวจสุขภาพทั่วไป เพราะถ้าหากยิ่งตรวจพบการติดเชื้อเร็ว ก็จะสามารถเข้าสู่ระบบการรักษาได้ทันเวลา และช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คู่นอนได้ แนะนำพาคู่นอนมาตรวจหาการติดเชื้อด้วยก็จะเป็นการดี

 

 

INSTi กี่วันตรวจได้

INSTi HIV Self Test หรือ อินสติ ชุดตรวจHIV ด้วยตนเอง ผลิตโดยบริษัท bioLytical Laboratories ประเทศแคนาดา เทคโนโลยีใหม่ที่ไม่เหมือนใคร ช่วยให้ได้ผลลัพธืที่แม่นยำขึ้นสามารถตรวจและอ่านผลได้เลยทันที ไม่ต้องรอนาน ชุดตรวจHIV อินสติ ตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีจากตัวอย่างเลือดปลายนิ้ว ความแม่นยำสูง แม่นยำมากกว่า 99% สามารถตรวจได้ในผู้ที่รับความเสี่ยงมาแล้วกว่า 21 วันขึ้นไป

 

INSTi HIV Self Test ผ่านการรับรองจาก Health Canada และได้รับรองมาตรฐานสากล CE Marked และ WHO Pre-Qualified ผ่านอย.ไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลขอย. 64-2-1-1-0000679

 

ตรวจHIV ตรวจเอดส์ ด้วยตนเอง ดีอย่างไร

  • สามารถหาซื้อชุดตรวจHIV ได้ง่ายจากร้านขายยา หรือจากช่องทางofficial
  • ให้ความเป็นส่วนตัวมากกว่า เพราะตรวจด้วยตนเอง ไม่จำเป็นต้องมีบุคคลที่ 2-3
  • สะดวก ประหยัดเวลา เพราะตรวจที่ไหนก็ได้
  • ไม่จำเป็นจะต้องอดข้าวอดน้ำก่อนตรวจ ปกติแล้วการตรวจเลือดนั้นจะเข้าใจกันว่าจะต้องอดข้าวอดน้ำ แต่การตรวจเอชไอวีไม่จำเป็นจะต้องทำเช่นนั้น
  • ตรวจง่าย รู้ผลไว เข้าถึงการรักษาได้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการหรือป่วยหนัก
  • ตรวจได้บ่อยเท่าที่ต้องการ เหมือนกับการตรวจเช็คสุขภาพ ยิ่งถ้าหากมีพฤติกรรมเสี่ยงบ่อย ๆ ก็สามารถตรวจเช็คได้เลยตามระยะเวลาเสี่ยงที่ได้รับ
  • การตรวจเอชไอวีด้วยตนเองมาก่อนแล้ว หากผลลัพธ์เป็นบวก เมื่อเดินทางไปตรวจยืนยันที่โรงพยาบาลจะช่วยลดระยะเวลาในการเข้ารับการตรวจ

 

 

อินสติ รู้ผลใน 1 นาที สามารถหาซื้อ อินสติ ได้ที่ร้านขายยาทั่วประเทศ ค้นหา ร้านขายยาจำหน่าย อินสติ ได้ที่นี่ Click

สั่งซื้อ จากผู้นำเข้า และจัดจำหน่าย โดยตรง

 

 

HIV กับ HPV ต่างกันอย่างไร แม้ชื่อจะคล้ายกันแต่ไม่ใช่โรคเดียวกัน

HIV กับ HPV ต่างกันอย่างไร, อินสติ, INSTI, ชุดตรวจHIV, ชุดตรวจ HIV ซื้อที่ไหน, ชุดตรวจ HIV อินสติ, เอดส์, ตรวจเอดส์, ตรวจเอดส์ รู้ผลทันที, ชุดตรวจ HIV ร้านขายยา, ชุดตรวจ HIV ด้วยตนเอง

 

 

HIV กับ HPV ต่างกันอย่างไร แม้ชื่อจะคล้ายกันแต่ไม่ใช่โรคเดียวกัน สามารถติดเชื้อผ่านทางไหนได้บ้าง และจะทราบได้อย่างไรว่าติดเชื้อ

 

HIV กับ HPV ต่างกันอย่างไร

แม้ว่าทั้งสองโรคจะมีชื่อคล้ายกัน และถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกัน STD ( Sexually Transmitted Disease ) ที่สามารถแพร่เชื้อหรือติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่งได้จากการมีเพศสัมพันธ์ แต่ก็ไม่ใช่เชื้อไวรัสชนิดเดียวกันและทำให้เกิดโรคที่แตกต่างกัน

 

HIV เกิดจากเชื้อไวรัส Human Immunodeficiency Virus ซึ่งเป็นไวรัสที่เป็นสาเหตุของภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

HPV เกิดจากเชื้อไวรัส Human papilloma virus ซึ่งเป็นไวรัสที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งในระบบสืบพันธุ์ได้ มีมากกว่า 150 สายพันธุ์ย่อย ที่ผ่านมา HPV สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 เป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่ทำให้ผู้หญิงเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก

 

โดยปกติแล้วHIV ติดต่อทางไหนได้บ้าง

  1. การติดต่อจากการรับเชื้อทางเลือด
  2. การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน และมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก
  3. การติดต่อจากแม่สู่ลูก ทั้งขณะตั้งครรภ์ ขณะคลอด หรือหลังคลอด

 

โดยปกติแล้วHPV ติดต่อทางไหนได้บ้าง

  1. เมื่อเพศสัมพันธ์กับผู้มีเชื้อHPV ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปาก อีกทั้งสามารถเป็นได้ทั้งชายและหญิง
  2. ติดจากแม่สู่ลูก เมื่อแม่มีเชื้อเด็กแรกเกิดสามารถติดได้ ในกรณีติดขณะคลอดผ่านทางช่องคลอด

 

จะทราบได้อย่างไรว่าติดเชื้อ

  • HPV จะไม่แสดงอาการ แต่อาการที่ต้องสงสัยได้แก่ มีหูดหงอนไก่เกิดขึ้นที่อวัยวะแพศ การมีตกขาวมากผิดปกติ ตกขาวนั้นมีกลิ่นเหม็น หากติดเชื้อที่ทวารหนักอาจจะพบบาดแผลหรือก้อนเยื่อออกมาแบบไม่ปกติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่ากลัวมาก เพราะนานหลายปีกว่าจะแสดงอาการ พอเมื่อเริ่มมีอาการส่วนใหญ่ก็จะลุกลามเป็นมะเร็งแล้ว ดังนั้น ควรหมั่นตรวจคัดกรองบ่อย ๆ โดยเฉพาะการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
  • HIV มีอาการแสดงในระยะเริ่มแรกของการติดเชื้อ สามารถหายไปได้เอง และหลังจากนั้นอาจจะไม่มีอาการอีกเลย หรือมีบ้างเป็น ๆ หาย ๆ ไม่ทันสังเกต ที่น่ากลัวก็คือ อาการของการติดเชื้อเอชไอวีนั้น เหมือนกับอาการป่วยไข้ทั่วไป คล้ายกับหลาย ๆ โรค และสามารถหายได้เอง ทำให้เราไม่ได้สังเกตหรือแปลกใจ จนกระทั่งเข้าสู่ระยะเอดส์ที่จะป่วยหนักซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อฉวยโอกาส เพราะภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

ดังนั้น ควรหมั่นตรวจคัดกรองบ่อย ๆ เมื่อพบว่าตนเองเคยได้รับความเสี่ยง แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องได้รับความเสี่ยงมา เพียงแค่อยากตรวจเอชไอวีก็สามารถตรวจคัดกรองด้วยตนเองได้ เพื่อเป็นการตรวจเช็คสุขภาพประจำปี หรือ สำหรับคู่รักที่กำลังจะแต่งงาน สามี-ภรรยาที่เตรียมจะมีบุตร การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัด เป็นต้น

 

ปัจจุบัน HIV สามารถตรวจคัดกรองด้วยตนเองได้แล้ว สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายยา และซื้อออนไลน์ผ่านทางออฟฟิเชียล ทั้งนี้หากมีพฤติกรรมที่เสี่ยงได้รับเชื้อบ่อย ๆ ก็สามารถตรวจได้ตลอดเสมือนการตรวจสุขภาพ หรือถ้าอยากตรวจเอชไอวีก็สามารถตรวจได้เลย ไม่จำเป็นจะต้องได้รับความเสี่ยงมาเท่านั้นถึงจะต้องตรวจ ใคร ๆ ก็ตรวจได้ ดูแลสุขภาพ รักตนเอง และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

 

อินสติ รู้ผลใน 1 นาที สามารถหาซื้อ อินสติ ได้ที่ร้านขายยาทั่วประเทศ ค้นหา ร้านขายยาจำหน่าย อินสติ ได้ที่นี่ Click

สั่งซื้อ จากผู้นำเข้า และจัดจำหน่าย โดยตรง