อยาก ตรวจเลือด ปัจจุบันการตรวจเลือด ถือเป็นอีกวิธีการสำคัญเพื่อบอกถึงการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย โดยจะเป็นการตรวจเพื่อวิเคราะห์ หาปัจจัยเสี่ยงของสุขภาพแต่ละบุคคล ซึ่งจะให้ทางแพทย์สามารถวินิจฉัยโรคหรือสภาวะต่าง ๆ ที่ผิดปกติของร่างกายได้ ใบผลการตรวจเลือดจากแพทย์ มักจะมีความหมายของค่าต่าง ๆ ของผลการตรวจเลือด ที่ผู้เข้ารับการตรวจสุขภาพ อาจไม่เข้าใจ ซึ่งจำเป็นที่แพทย์ อาจจะต้องอธิบายผลตรวจให้เข้าใจ
หลาย ๆ คนมักคิดว่า ผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวี มักจะมีอาการไข้ขึ้นสูง ลิ้นเป็นฝ้า มีผื่นขึ้นตามตัว เป็นต้น แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถยืนยันได้ว่า บุคคลที่มีอาการเหล่านี้ จะเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวีเท่านั้น เพราะอาการเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นจากโรคอื่นๆ หรือการที่คุณปล่อยปะละเลย ที่จะดูแลสุขภาพในบางครั้ง ผู้ป่วยที่ติดเชื้อบางรายอาจมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง โดยที่ไม่มีการแสดงอาการใด ๆ เลยเป็นเวลานานหลายปี
ดังนั้นแล้ว การตรวจเลือด จึงเป็นประเด็นที่สำคัญ และยังคงเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถยืนยันได้ว่า คุณติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่ โดยปัจจุบันด้วยวิทยาการทางการแพทย์ จึงทำให้การตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี สามารถทำการตรวจ ได้อย่างรวดเร็ว ไม่เจ็บตัว และมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก
อยาก ตรวจเลือด โดยหลักการตรวจเอชไอวีนั้น เมื่อร่างกายของเราได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว ระบบภูมิคุ้มกันภายในร่างกาย จะทำการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา เพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัส หรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้การตรวจเอชไอวี จึงใช้หลักการตรวจหาภูมิคุ้มกัน ในเลือด ซึ่งสามารถตรวจได้ตั้งแต่ 21 วันหลังจากได้รับเชื้อ และควรตรวจซ้ำที่ประมาณ 3 เดือนหลังจากติดเชื้อเอชไอวีอีกครั้ง จึงจะสามารถเชื่อถือได้
เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย ของแต่ละบุคคลนั้นมีความแตกต่างกัน บางคนใช้เวลาสั้นๆ เพียง 3 สัปดาห์ (มีงานวิจัยรับรอง ว่าสามารถตรวจได้ไวที่สุด 3 สัปดาห์) แต่บางคนกับต้องรอถึง 3 เดือน จึงจะสามารถตรวจพบ ซึ่งเราจะเรียกระยะเวลา 3 เดือนนี้ว่า ระยะฟักตัว (Window period)
อย่างไรก็ตาม หากได้เข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ในช่วงที่เป็นระยะของการฟักตัว ผลที่ได้จะอาจจะออกมาเป็นผลลบปลอม ทั้งที่จริงแล้วคุณอาจติดเชื้อแล้วก็ได้ ซึ่งผลที่ออกมานี้อาจทำให้คุณเข้าใจผิด ว่าตนเองนั้นไม่ได้ติดเชื้อ แต่ก็อย่าพึ่งวางใจไป เพราะหากมีภาวะเสี่ยง ก็ควรทำการตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 3 เดือนหลังจากที่ได้ตรวจในครั้งแรกไปแล้ว ทั้งนี้แล้วระยะฟักตัวของการตรวจ ในแต่ละวิธีอาจแตกต่างกันออกไป
การตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี โดยหลัก ๆ จะมี 3 วิธี ได้แก่
1. การตรวจแบบ Anti-HIV การตรวจด้วยวิธีนี้สามารถให้ประชาชน ผู้ที่มีความเสี่ยงสามารถเข้ารับการตรวจได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง ตามโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ ซึ่งการตรวจด้วยวิธีนี้ จะให้ผลการตรวจได้ใน 1-2 ชั่วโมงหลังการตรวจ แต่ผลที่ได้จะเป็นผลเลือดย้อนหลังไปประมาณ 1 เดือน
2. การตรวจแบบ NAT (Nucleic Acid Testing) การตรวจด้วยวิธีนี้จะมีข้อแตกต่างจากการตรวจแบบ Anti-HIV คือ จะสามรถชี้วัดจากร่างกายเราย้อนหลังไปประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังจากที่ได้รับความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น หากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกันมาเมื่อ 7 วันก่อน แล้วกังวลว่าจะได้รับเชื้อเอชไอวี ซึ่งการตรวจแบบ NAT จะทำให้เราทราบผลเลือดว่าเป็นบวก หรือลบได้แน่ชัดกว่าการตรวจแบบ Anti-HIV
3. การตรวจแบบ Rapid HIV Test หรือการตรวจแบบชนิดเร็ว โดยการตรวจด้วยวิธีนี้จะสามารถรู้ผลเลือดได้เวลา 20 นาทีเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะให้ผลเลือดที่เร็วกว่าวิธีอื่น แต่ก็เป็นเพียงการตรวจเพื่อคัดกรองเบื้องต้นเท่านั้น หากการตรวจแบบ Rapid HIV Test ให้ผลเลือดเป็นบวก ผู้ที่ตรวจต้องทำการตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันว่า มีการติดเชื้อจริงด้วยขั้นตอน Anti-HIV หรือ NAT แล้วแต่ระยะเวลาที่ได้รับเชื้อมา
อย่างไรก็ตาม การตรวจเลือด (Blood Tests) จะเป็นการนำผลเลือดไปตรวจเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ดังนั้นแล้วคุณมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจตรวจ หรือไม่ตรวจก็ได้ โดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อจะเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล จึงไม่สามรถไปบังคับคนที่ไม่อยากตรวจให้ตรวจได้ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการตรวจสุขภาพประจำปี การรับพนักงานเข้าทำงาน ก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือผิดกฎหมายได้ หากผู้ตรวจไม่ยินยอม
หากคุณมีความคิดที่อยากจะตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวี เพราะคุณได้รับความเสี่ยงมาไม่ว่าจะในรูปแบบใด คุณสามารถที่จะไปตรวจได้ที่โรงพยาบาลฟรี ปีละ 2 ครั้ง เพียงมีบัตรประชาชน แต่ถ้าคุณไม่กล้าพอที่จะไปตรวจ คุณมีทางเลือกอีกหนึ่งทาง คือการซื้อชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเองมาลองตรวจคัดกรอง เพื่อคัดกรองก่อนว่ามีโอกาสติดเชื้อหรือไม่ หากพบว่าผลเป็นบวก จึงค่อยเดินทางไปตรวจยืนยันและเข้าระบบการรักษาที่โรงพยาบาล