ตรวจเอดส์ ไม่เจอ เอดส์ (AIDS) เกิดจากอาการของ โรคภูมิคุ้มกันที่มีความบกพร่อง โดยสาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ได้เข้าไปสู่ร่างกาย และได้ไปทำลาย เซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาว จะทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม หรือเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้ามาสู่ร่างกาย โดยเซลล์เม็ดเลือดขาว จะถูกทำลายมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้ผู้ป่วย มีระบบภูมิคุ้มกันที่ต่ำลง
จนในที่สุด ร่างกายของผู้ป่วย ไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ ที่เข้าไปสู่ร่างกายได้ และหลังจากนั้น ร่างกายของผู้ป่วย จะเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และจะส่งผล ให้เกิดโรคการ ติดเชื้อฉวยโอกาส เช่น วัณโรค เชื้อรา ปอดบวม เป็นต้น โดยส่วนมาก ผู้ป่วยโรคเอดส์มักจะเสียชีวิตลงด้วยโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ
การแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวี จากคนที่ติดเชื้อ ไปสู่คนที่ยังไม่ติดเชื้อ สาเหตุการแพร่เชื้อได้นั้น เกิดจากการที่ทั้งสองคน ไปมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่มีการป้องกัน หรืออาจเกิดจากการ ที่ใช้เข็มฉีดยาเสพติด ที่มีเลือดของผู้ที่ติดเชื้อปนเปื้อนอยู่ ก็สามารถแพร่ หรือส่งต่อเชื้อได้ในปริมาณที่มาก ในระดับหนึ่งในเลือด น้ำคัดหลั่งที่อยู่ในช่องคลอด หรือแม้แต่ในทวารหนัก เป็นต้น โดยทั่วไปแล้ว จะใช้เกณฑ์ปริมาณของไวรัส ในเลือดมากกว่า 200-1,000 ตัว ต่อซีซีของเลือด เป็นตัวเทียบเคียง
หากผู้ที่ติดเชื้อ มากกว่าร้อยละ 90-95 ที่ได้เข้ารับการรักษา และรับยาต้านไวรัสเกิน 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งอาจะมีปริมาณของเชื้อไวรัส ในเลือดต่ำกว่า 50 ตัวต่อซีซีของเลือด โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว เราจะเรียกกันว่า ตรวจไม่เจอ (undetectable) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เชื้อที่อยู่ภายในร่างกายได้หมดไปแล้ว เพียงแต่ จะมีปริมาณที่เหลือน้อยมาก ๆ จนทำให้ ชุดทดสอบไม่สามารถ ทำการตรวจเจอได้ ซึ่งชุดทดสอบอาจจะ ตรวจเจอได้ต่ำสุดอยู่ที่ 20 , 40 หรือ 50 copies
สาเหตุที่ ตรวจเอดส์ ไม่เจอ อาจเกิดจากการที่ยาต้านไวรัสเอชไอวี ได้ไปกดทับเชื้อไว้ ถ้าหากมีการหยุดกินยาต้าน เชื้อไวรัสก็กลับมามีปริมาณเพิ่มมากขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ฉะนั้นแล้ว หากจะทำการตรวจ ให้ไม่เจอได้จะต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง ตรงต่อเวลาไปเรื่อย ๆ และควรตรวจหาปริมาณของไวรัสในเลือด อย่างน้อยปีละครั้ง หากผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ได้กินยาต้านเชื้อไวรัสเกิน 6 เดือนขึ้นไป และได้ทำการตรวจแล้ว ว่าไม่เจอเชื้อไวรัสในเลือด คนนั้นก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อเอชไอวี ไปสู่ผู้อื่นได้
ทั้งนี้ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย ได้กล่าวไว้ว่า ในทางการแพทย์จะเรียกกระบวนการนี้ว่า U=U คือ Undetectable (ตรวจไม่พบเชื้อ) และ Untransmittable (ไม่ถ่ายทอด) ดังนั้น จึงหมายความว่า หากทำการตรวจไม่เจอเชื้อเอชไอวี ก็จะไม่สามารถถ่ายทอด หรือแพร่ไปสู่ผู้อื่นได้
ประเด็นหลักของ U=U ไม่ใช่เพื่อให้ผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี และทานยาต้านไวรัส จนเชื้อนั้นเหลือน้อยเกินกว่า ที่จะตรวจพบ ไปมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน อย่างที่เป็นข่าวดัง ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แน่นอนว่าคุณอาจจะสามารถทำได้กับคู่รักของคุณ คู่นอนเพียงคนเดียวของคุณ โดยควรให้อีกฝ่ายยินยอมด้วย
แต่หากเป็นกับคนอื่นๆ การไม่สวมใส่ถุงยางอนามัยนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้น คุณจึงควรสวมใส่ถุงยางอนามัยและป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพื่อความปลอดภัยทั้งของตัวคุณเอง และคู่นอน และที่สำคัญ คือ ควรที่จะกล้าตรวจเอชไอวี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ผู้ป่วยที่ ติดเชื้อเอชไอวี ส่วนใหญ่แล้วจะมีสุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรงไม่ต่างจากผู้ที่ไม่ได้ติดเชื้อ ซึ่งเกิดจากการรักษาด้วยยาต้านไวรัส โดยผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี สามารถเข้ารับการรักษาได้ ตามสิทธิด้านสุขภาพ ที่ตนเองนั้น มีไม่ว่าจะเป็นสิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ อีกทั้งยังรวมไปถึงสิทธิของ ผู้ที่ถือบัตรทอง เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม
ทั้งนี้ หากผู้ที่มีความเสี่ยง ต่อการติดเชื้อเอชไอวี ไม่สะดวกจะเดินทาง ไปตรวจคัดกรองที่โรงพยาบาล ก็สามารถทำการตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเอง ด้วย ชุดตรวจที่มีความปลอดภัย แม่นยำ มาตรฐานเดียวกันกับโรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจ และคลายความกังวลใจ เพราะหากตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างเหมาะสม และถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม จากที่กล่าวมา การตรวจด้วยชุดตรวจ เป็นเพียงการตรวจ เพื่อคัดกรองเบื้องต้นด้วยตนเองเท่านั้น หากผลตรวจออกมาเป็นบวกหรือลบ ก็อย่างพึ่งวางใจ แต่ให้เดินทางไปตรวจตามสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อยืนยันผลตรวจที่ชัดเจนอีกครั้ง