อย่างที่เคยเกริ่นไว้แล้วว่า การทดสอบหาการติดเชื้อไวรัส HIV นั้นเป็นการทดสอบที่ค่อนข้าง
Sensitive มีความละเอียดอ่อนสูง ต่างกับการทดสอบทางห้องปฏิบัติการตัวอื่นๆ เนื่องจาก
เป็นที่รับทราบกันว่า ไม่มีการทดสอบไหนที่ให้ความถูกต้องได้ 100% น้ำยาที่ใช้ในการตรวจ
ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหน ไม่ว่าจะเป็น Generation ที่ 1 / 2 / 3 / 4 ปัจจุบัน ก็ล้วนมีโอกาสผิด
พลาดได้ ความผิดพลาดนอกจากจะมาจากชุดทดสอบแล้วยังมีสาเหตุอื่นๆได้อีกเช่น จากผู้ถูก
ตรวจเอง การเจ้าหน้าที่ที่ทำการทดสอบ จากการผิดพลาดในการสลับตัวอย่างตัวอย่างตรวจ
ในขั้นตอนปฏิบัติงาน (อาจพบได้ในสถานบริการที่มีการตรวจเป็นจำนวนมากต่อวัน)
เพื่อเป็นการลดโอกาสความผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุด การทดสอบหาเชื้อไวรัส HIV จะมีแนว
ทางการตรวจมาตราฐานมาเพื่อช่วยลดโอกาสความผิดพลาด สถานบริการทุกที่จะมีระบบ
ISO มากำหนดการปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอน การเลือกใช้ชนิดของชุดทดสอบเพื่อให้เหมาะ
สมในแต่ละสถานบริการ ขั้นตอนการดำเนินงานเพื่อลดความผิดพลาดต่างๆให้เหลือน้อยที่สุด
เลือดบวก แปลว่าอะไร
ผลบวก หมายถึงว่า “มี” หรือ “พบเชื้อ” หรือ “พบร่องรอยการติดเชื้อ” ถ้าผลเลือดบวกเอดส์ ก็แปลว่า เคยได้
รับเชื้อโรคเอดส์ มาแล้วแต่ไม่ได้หมายความว่ากำลังเป็น โรคเอดส์ (ที่แสดงอาการแล้ว) ในขณะนั้น
ผลบวกปลอม False positive (ไม่ติดเชื้อ แต่ผลตรวจออกมาเป็นบวก) พบได้ แต่น้อยมาก ซึ่งอาจ
พบจากแอนติเจนบอดี( ภูมิคุ้มกัน )ต่อกล้ามเนื้อเรียบ ผู้ป่วย Autoimmune disease / SLE หรือเกิด
การ cross reaction ต่อไวรัสชนิดอื่น
ผลลบปลอม False negative (ติดเชื้อ แต่ผลตรวจเป็นลบ) ก็มีครับ แต่น้อยมากเช่นกัน มักพบใน
ผู้เพิ่งรับเชื้อมา แล้วร่างกายยังไม่สร้าง แอนติเจนบอดี ( ภูมิคุ้มกัน ) เมื่อตรวจแล้วภูมิคุ้มกันยังไม่ขึ้น ทำให้ได้
ผลเป็น ลบ เรียกระยะนี้ว่า Window period ดังนั้นถ้าตรวจแล้วผลเลือดเป็น ลบ แต่มีเหตุควรสงสัย ควร
จะตรวจซ้ำอีก 3-6 เดือนต่อมา ถ้าได้เป็น ผลลบอีก จึงจะแน่ใจว่า ไม่ติดเชื้อ
“ติดเชื้อ” กับ “เป็นเอดส์” เหมือนกันไหม
ไวรัสที่เป็นสาเหตุของการนำไปสู่โรคเอดส์ เรียกว่า HIV (Human Immunodeficiency Virus) การ
ติดเชื้อหมายถึงการได้รับเชื้อไวรัส HIV เข้ามาสู่ร่างกาย ตามช่องทางต่างๆที่กล่าวมาแล้ว เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่าง
กายแล้ว ต่างจากไวรัสอื่นๆคือมันจะเข้าหลบซ่อนในเซลเม็ดเลือดขาวลิมโฟซัยต์ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง
ภูมิต้านท้านของร่างกายเอง เพื่อไปแบ่งตัวและสร้างตัวไวรัสเพื่อเพิ่มจำนวนไวรัส ไวรัสที่เพิ่มขึ้นจะออกจาก
เซลเม็ดเลือดขาวเดิม เพื่อไปฝังตัวในเม็ดเลือดขาวตัวใหม่ต่อไป ส่วนเม็ดเลือดขาวเดิมที่ติดเชื้อก็จะตายไป
ขบวนการนี้จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในร่างกายผู้ที่ติดเชื้อ จำนวนเม็ดเลือดขาวที่เกี่ยวข้องกับการสร้างภูมิต้าน
ทานก็จะเริ่มลดน้อยลง ภูมิต้านทานของผู้ติดเชื้อก็เริ่มอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการรักษา เมื่อระบบ
ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอต่อไปเรื่อย ก็จะเริ่มมีอาการผิดปกติ หากอาการผิดปกติเข้าข่ายเราเราจะเรียกว่า
เข้าสู่ระยะเริ่มต้นของโรคเอดส์ และจะดำเนินต่อไปจนเข้าสู่ระยะของเอดส์เต็มขั้นต่อไป ระยะเวลานี้จะสั้น
หรือยาว อยุ่ที่การทานยารักษา การดูแลสุขภาพอนามัย กำลังใจที่เข้มแข็ง สิ่งแวดล้อมที่ดี