คนส่วนใหญ่มักจะมองแต่ว่า ‘การเป็นเอดส์’ มีแต่ข้อเสีย มีแต่ด้านลบ และถือเป็นความผิดพลาดในชีวิตที่ไม่ควรได้รับการให้อภัย แต่คุณอาจลืมมองไปว่า ภายใต้ ‘ความผิดหวัง’ ยังคงมี ‘ความดีงาม’ บางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแค่คุณพร้อมที่จะเปิดใจคุณก็จะพบว่า ยังมีใครอีกหลายๆคนพร้อมจะจับมือคุณเดินต่อไปในเส้นทางชีวิตที่แสนห่อเหี่ยว และทำให้มันกลับมาดูมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
อย่ามัวแต่คิดถึงข้อเสียของการเป็นเอดส์เพียงอย่างเดียว เพราะยิ่งคิดก็จะยิ่งทำให้อาการที่คุณเป็นอยู่แย่ลง และไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้เลย ลองมานึกถึงข้อดีข้อมันบ้างดีกว่า ว่า ‘การเป็นเอดส์’ ตอบแทนอะไรให้แก่คุณได้บ้าง
1. ก็ดีเหมือนกัน…ฉันจะได้เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น
บางทีคุณอาจจะไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่ข้างๆคุณ รักคุณมากแค่ไหน เพราะบางคนไม่กล้าพอที่จะแสดงความรักที่เขามีออกมาให้คุณได้รับรู้ตลอดเวลา แต่เมื่อใดที่คุณอ่อนแอหรือล้มลง บุคคลที่อยู่ข้างๆเหล่านี้ ก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคุณเสมอ คอยพยุงคุณไว้ในวันที่อ่อนล้า และพาคุณก้าวเดินต่อไปในวันข้างหน้า ขอเพียงแค่คุณเริ่มต้นพูดและฟังคนรอบข้างให้มากขึ้น พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ แล้วพวกเขาก็จะเปิดใจและให้อภัยกับความผิดพลาดที่คุณเคยทำมาอย่างแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะรักและเข้าใจเราได้เท่ากับคนในครอบครัวของเราอีกแล้ว
2. ก็ดีเหมือนกัน…ฉันจะได้ลดน้ำหนักได้สักที
แน่นอนว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไปวีย่อมเป็นบุคคลที่มีร่างกายไม่แข็งแรง เนื่องจากเชื้อไวรัสตัวนี้จะเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้เจ็บป่วยหรือติดเชื้อบางเชื้อได้ง่าย ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ติดเชื้อไอชไอวีจึงควรพยายามออกกำลังกาย เพื่อบริหารความสมบูรณ์ของร่างกายให้ได้อย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่คุณออกกำลังกายอย่างถูกวิธี จะมีผลให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคได้ดีมากขึ้น และผลพลอยได้จากการออกกำลังกายนี้ ก็ย่อมมีส่วนให้คนที่เคยมีน้ำหนักตัวมากๆสามารถมีน้ำหนักที่ลดน้อยลง หรือมีรูปร่างที่สมส่วนมากขึ้นได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็ยังจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ เพื่อให้สารอาหารเข้าไปช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกายให้มากขึ้น พร้อมๆไปกับการรับประทานยาต้านเชื้อไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหากคุณสามารถปฏิบัติตามวิธีการเหล่านี้ได้ คุณก็จะสามารถมีชีวิตที่แข็งแรงได้ไม่แพ้กับคนปกติทั่วไปเลย
3. ก็ดีเหมือนกัน…ฉันจะได้พักผ่อนให้มากขึ้น
ต้องยอมรับว่า คนบางคนใช้ชีวิตแต่ละวันที่หนักมาก “ตื่นแต่เช้าฝ่ารถติดไปทำงาน” “ตกเย็นสังสรรค์จนมืดค่ำ” “กว่าจะได้นอนก็เกือบสว่าง” ซึ่งการใช้ชีวิตซ้ำๆเช่นนี้ทุกวัน ย่อมมีผลให้ร่างกายเสื่อมถอยลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อใดที่คุณป่วย คุณก็จะจำเป็นต้องหันมาดูแลตัวเองให้มากขึ้น พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะหายไปโดยปลิดทิ้ง เพราะร่างกายสำคัญไปกว่าการทำงานหรือการสังสรรค์ คุณจึงจำเป็นจะต้องรักษาตัวให้ดีมากที่สุด จากที่เคยเป็นคนพักผ่อนน้อย หรือเคร่งเครียดจากการทำงานมาก ไลฟ์สไตล์ที่เคยเป็นก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไป เพื่อปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ซึ่งนี่กับเป็นผลดีที่ทำให้คุณหันมาดูแลใส่ใจตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะการใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วงแบบที่คุณเคยทำ อาจทำให้ชีวิตสั้นกว่าชีวิตที่คุณดูแลตัวเองเป็นอย่างดีหลังจากได้รับเชื้อเอชไปวีไปแล้วก็ได้
4. ก็ดีเหมือนกัน…ฉันจะได้เข้าใจในชีวิตมากขึ้น
ถ้าไม่มีทุกข์ ก็คงไม่มาตามหาสาเหตุแห่งทุกข์ แต่เมื่อใดที่เราพบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์แล้ว ก็ควรจะต้องแก้ไขมันให้ได้ ตามหลักความเป็นจริงใน “อริยสัจ 4” ทุกครั้งที่เราเกิดความทุกข์ ธรรมมะจะช่วยขัดเกลาให้เรามองเห็นความเป็นจริงได้ดีมากยิ่งขึ้น เพราะอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ชีวิตของเราเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป เป็นธรรมดาและเป็นความจริงที่สุด แม้ว่าวันใดที่ร่างกายของเราอ่อนแอเนื่องจากโดนพิษร้ายที่เกิดจากการติดเชื้อเล่นงาน แต่อย่าทำให้จิตใจต้องติดอยู่ในความร้ายกาจนั้นไปด้วย การทำจิตให้แน่วแน่ มีสติและสมาธิ จะช่วยให้คุณสบายใจได้มากขึ้น และเข้าใจในความเป็นไปของโลกได้มากขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งนี้นับเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพราะจากคนที่ไม่เคยเข้าใจในความเป็นไปของชีวิตเลย กลับสามารถพบทางออก หรือเข้าใจในชีวิตมากยิ่งขึ้นได้ ด้วยตัวแปรที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ “การติดเชื้อเอชไอวี” นั่นเอง
พอจะทราบถึง “ข้อดี” ของการเป็นเอดส์กันไปแล้ว ก็หวังว่าผู้ติดเชื้อทุกท่านจะมีกำลังใจในการมีชีวิตต่อได้มากยิ่งขึ้นนะคะ คนเราเกิดมาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการสร้างสิ่งที่งดงามเอาไว้ให้ผู้อื่นได้จดจำ เพราะแม้แต่ต้นไม้มันยังเกิดมาเพื่อให้ออกซิเจนกับสิ่งมีชีวิตเลย หากคุณไม่สามารถทำความดีตอบแทนให้โลกหรือทำผู้คนจดจำในความดีได้เลย ก็คงไม่ต่างอะไรกับวัชพืชที่เกิดมาแล้วก็ต้องตายไปเพียงเท่านั้น