โรคเอดส์สาเหตุ โรคเอดส์ (AIDS) เป็นภาวะการณ์ป่วย ในขั้นสุดท้ายของ การติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัส ที่เข้าไปทำลาย เซลล์เม็ดเลือดขาว ภายในร่างกาย ทำให้ระบบภูมิคุ้มกัน มีความบกพร่องจนไม่สามารถ กำจัด หรือต่อสู้กับเชื้อ ที่เข้าไปสู่ร่างกายได้ จึงทำให้เกิด อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ได้ง่าย ซึ่งอาจนำไปสู่ การเสียชีวิตลงได้ ปัจจุบันนี้ ยังไม่มีวิธีการใด ที่สามารถ รักษาโรคเอดส์ ให้หายขาดได้ มีเพียงยาที่ช่วยชะลอ การพัฒนาของโรค และยังช่วยลด อัตราการเสียชีวิตลง ด้วยโรคเอดส์ หากว่าผู้ติดเชื้อรู้ตัว และได้รับการรักษา ตั้งแต่เริ่มแรก ก็อาจจะช่วย ลดความเสี่ยง ไม่ให้เชื้อเอชไอวีลุกลาม ไปสู่ระยะเอดส์ได้
โรคเอดส์สาเหตุ ที่ทำให้เกิดโรค สันนิษฐานว่ามาจากลิง ซึ่งถูกค้นพบ ที่แรกที่แถบทวีปแอฟริกา มานานกว่า 70 ปี ต่อมาโรคนี้ ก็ได้วิวัฒน์มาสู่คน
เอดส์ คือ ระยะสุดท้าย ของการติดเชื้อเอชไอวี เชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะมุ่งทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกาย ทำให้เกิด ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง นั่นเอง
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการติดเชื้อเอชไอวี คือ
– การมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์ ผ่านทางช่องคลอด และทางทวารหนัก โดยที่ไม่ได้มีการป้องกัน หากว่ามีฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง ติดเชื้อ เอชไอวี อาจจะมีความเสี่ยงสูง ที่คู่นอน จะได้รับเชื้อ เข้าสู่ร่างกาย จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน
ทั้งจากของเหลวในช่องคลอด น้ำอสุจิ หรือหากเกิดบาดแผล และมีเลือดออก จากการร่วมเพศ อีกทั้งยังรวมไปถึง การมีกิจกรรมทางเพศ โดยการใช้ปาก (Oral sex) โดยความเสี่ยง ที่อาจจะได้รับเชื้อเอชไอวี ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณของเชื้อ ที่อยู่ในสารคัดหลั่งด้วย
เพราะปกติแล้ว การมีเพศสัมพันธ์ ด้วยปากจะมีความเสี่ยงต่ำ ที่จะติดเชื้อผ่าน ทางน้ำลายของอีกฝ่าย แต่จะมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เมื่ออีกฝ่าย เกิดมี บาดแผลภายในช่องปาก
– การตั้งครรภ์ และการคลอด ทารกที่อยู่ในครรภ์ สามารถติดเชื้อได้ จากทั้งระหว่างที่อยู่ภาย ในครรภ์ของมารดา ระหว่างการทำคลอด และ ระหว่างที่แม่ให้นมลูก หากว่าแม่ ที่เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง และต่อเนื่อง อาจจะช่วยลดความเสี่ยง ที่ลูกจะได้รับเชื้อไปด้วย
– การใช้เข็มฉีดยา หรือกระบอกฉีดยา ร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อ อาจทำให้ได้รับเชื้อเอชไอวี จากเลือดในอุปกรณ์นั้น ซึ่งมักเกิดจาก การใช้ยาเสพติดร่วมกัน หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้ทำความสะอาดมาก่อน
– การรับเลือด การรับเลือดไปยังผู้ป่วย ที่ต้องการ การรักษาอาการป่วยต่าง ๆ แต่ถ้าหากว่า เป็นการถ่ายเลือด ตามสถานพยาบาล ก็จะมีขั้นตอน ตามมาตรฐานสากล ในการคัดกรอง และตรวจเลือด ก่อนจะมีการรับบริจาค ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ 2530 และได้กลายเป็นหลักบังคับ ให้ใช้ในสถานพยาบาลทุกแห่ง ซึ่งต้องมีการตรวจคัดกรอง ก่อนที่จะบริจาคเลือด ในปี 2533 เพื่อให้มั่นใจ ได้ว่าผู้ที่มาบริจาคเลือดนั้น ไม่ได้มีการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือเชื้อต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายแฝง มากับเลือดที่บริจาค ก่อนที่จะนำไปใช้ กับผู้ป่วยที่ขาดเลือด ซึ่งหลักการสากลนี้ จะทำให้ความเสี่ยงจากการติด เชื้อไวรัสเอชไอวี ผ่านการรับเลือดลดน้อยลง เป็นอย่างมาก
การที่เรามีเชื้อไวรัสเอชไอวี อยู่ภายในร่างกายนั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นโรคเอดส์ อย่างที่หลายคนคิด ซึ่งอาจมีบุคคลอีกมากมาย ที่ร่างกายมีเชื้อไวรัสเอชไอวี แต่ก็ยังมีสุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรงดี แต่เชื้อเหล่านี้ ก็จะยังค่อย ๆ เข้าไปในร่างกาย เพื่อเข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ให้ลดน้อยลง จึงส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วย และอาจเกิด โรคฉวยโอกาสได้ ดังนั้น สิ่งที่ควรทำ หากมีความกังวลว่าตนเอง มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ คือ เข้ารับการตรวจ ถ้าไม่กล้าที่จะ ไป ตรวจตามโรงพยาบาล ก็ให้รีบทำการ ตรวจคัดกรองเบื้องต้นด้วย ชุดตรวจคัดกรองด้วยตนเอง ปลอดภัย แม่นยำ ได้มาตรฐาน และสามารถทำการตรวจ ด้วยตนเองที่บ้าน ได้อย่างปลอดภัย เพื่อความสบายใจ และคลายความกังวลใจ เพราะหากรู้ผลตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะสามารถเข้ารับการรักษา และรับยาต้านไวรัส ได้ทันเวลา และเหมาะสม