ผลเลือด non reactive แปลว่าอะไร
เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ยังเป็นสาเหตุหลัก ของการเกิดโรคเอดส์ โดยที่เชื้อเอชไอวีนั้น จะกระจายไปทั่วร่างกายผ่านทางกระแสเลือด และยังไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายอีกด้วย ซึ่งเชื้อเอชไอวีจะค่อย ๆ ไปทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เพื่อให้ร่างกายติดเชื้อฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น วิธีที่จะทำให้รู้ว่า หากติดเชื้อเอชไอวี จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อเอชไอวีโดยเฉพาะ เพราะผู้ติดเชื้ออาจจะไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้อ เนื่องจากสัญญาณของเชื้อโรคนั้น จะไม่ปรากฏออกมาให้เห็นความผิดปกติ เพราะเชื้อเอชไอวีค่อย ๆ พัฒนาให้กลายเป็นโรคเอดส์ ถึงตอนนั้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ก็จะลดลงเป็นอย่างมาก จึงทำให้ร่างกาย เกิดการเจ็บป่วยอย่างรุนแรง หรืออาจจะไม่สามารถรักษาได้อีก ทั้งนี้แล้วผู้ป่วยอาจจะแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้โดยที่ไม่รู้ตัว
การตรวจเลือด เพื่อหาการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ถ้าจะให้ผลตรวจที่น่าเชื่อถือได้มากที่สุดนั้น ก็ต่อเมื่อมีการตรวจห่างจากการ ได้รับความเสี่ยงมานานกว่า 3 เดือนขึ้นไป ซึ่งหากว่าไปตรวจช่วงเวลา ดังกล่าวผลตรวจก็จะมี ความแม่นยำมากถึง 99.9% แต่หากว่าการตรวจเลือด ครั้งที่ผ่านมายังตรวจห่างจากการ ไปรับความเสี่ยงมาไม่ถึง 3 เดือน ควรไปตรวจเลือดซ้ำ อีกครั้งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม และสิ่งที่ต้องคำนึงถึง ในการตรวจเลือดหาการติดเชื้อ คือ มีโอกาสที่จะตรวจไม่พบแอนติบอดี ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อมาแล้ว เพราะเนื่องจากอยู่ในระยะฟักตัวของเชื้อ โดยจะเรียกระยะนี้ว่า “window period” จะใช้ระยะเวลาในการฟักตัวประมาณ 1-3 เดือน ซึ่งถ้าหากว่ามีการตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ ในระยะเวลาดังกล่าวอาจจะให้ ผลตรวจเป็น “non-reactive”
การตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี สามารถตรวจได้ 3 วิธี คือ
1.การตรวจหาภูมิคุ้มกันแอนติบอดี (Antibody) หรือ (Anti-HIV) ซึ่งจะมีหลากหลายวิธีแตกต่างกันไป โดยปกติแล้วร่างกายเราเมื่อได้รับเชื้อเข้าไปแล้ว จะต้องอาศัยเวลาในการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ ดังนั้นจะเริ่มตรวจพบเชื้อได้ ภายในประมาณ 3 สัปดาห์ และจะตรวจพบเชื้อได้เกือบ 100% ประมาณ 12 สัปดาห์ ฉะนั้น หากเริ่มมีการติดเชื้อ ผลตรวจ Anti-HIV ที่ได้อาจจะออกมาเป็น (Negative) หรือ (Non-reaction) ได้ ด้วยเหตุผลนี้ จึงต้องรออีกประมาณ 12 สัปดาห์ แล้วไปตรวจซ้ำอีกครั้ง เพื่อความมั่นใจ และหากผลออกมาเป็น Negative อีกครั้ง นั่นก็แปลว่าไม่มีการติดเชื้อ
2.การตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อเอชไอวี (HIV)
– การตรวจสาร พันธุกรรมของเชื้อเอชไอวี nucleic acid test หรือที่รู้จักกันว่า การตรวจ NAT ซึ่งจะสามารถตรวจพบเชื้อเอชไอวีได้ ภายในเวลาประมาณ 7-28 วัน หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อมาแล้ว
– การตรวจหาโปรตีนของเชื้อเอชไอวี (p24 antigen testing) จะสามารถตรวจพบเชื้อได้ภายใน 5 วัน หลังจากที่ร่างกายได้รับเชื้อมาแล้ว แต่ก็อาจจะมีความไว ในการตรวจเจอต่ำกว่าวิธีการตรวจแบบ NAT
3.การตรวจหาภูมิคุ้มกันและตรวจหาส่วนประกอบของเชื้อร่วมกัน
การตรวจแบบนี้สามารถตรวจได้ภายใน 14 วัน ของการรับความเสี่ยงมา เป็นการตรวจหาทั้ง Anti-HIV และ p24 Antigen ของเอชไอวี หากตรวจแล้วพบเพียงแอนติเจน ต้องตรวจซ้ำอีกครั้งหลัง 14 วันมาแล้วหนึ่งสัปดาห์
ผลเลือด non reactive แปลว่าอะไร
การวินิจฉัย ผลเลือดจะมีทั้งหมด 2 ผล หลักๆ ด้วยกัน คือ Reactive และ Non-reactive
- Reactive, Positive หมายความว่า ผลการตรวจเลือดเป็นบวก คือ มีโอกาสที่จะติดเชื้อเอชไอวี
- Non-reactive, Negative หมายความว่า ผลการตรวจเลือดเป็นลบ คือ ไม่พบการติดเชื้อเอชไอวี
ปัจจุบันนี้ ยังมียาต้านไวรัสอีกหลายกลุ่ม ให้เลือกทานตาม ระยะเวลาของการติดเชื้อ ฉะนั้น ถ้าคุณตรวจพบ การติดเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ และ เข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็ว อาจจะช่วยลด ภาวะความเสี่ยงนี้ได้ นอกจากนั้นคุณควรที่จะ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพที่แข็งแรงและมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น